7MTH.COM
อยู่ที่: หน้าแรก >
  • หน้าแรก
  • นักเตะ
  • ข่าว
  • รูปภาพ
  • สถิติข้อมูล
  • วิเคราะห์
  • การแข่งขันถัดไป

ดาวเด่น: เนย์มาร์
บอลโลกที่ผ่านมา: 1930 (รอบแรก) 1934 (รอบแรก) 1938 (อันดับ 3 ) 1950 (รองชนะเลิศ) 1954 (รอบก่อนรองชนะเลิศ) 1958 (ชนะเลิศ) 1962 (ชนะเลิศ) 1966 (รอบแรก) 1970 (ชนะเลิศ) 1974 (อันดับ 4 ) 1978 (อันดับ 3 ) 1982 (รอบ 2 ) 1986 (รอบก่อนรองชนะเลิศ) 1990 (รอบ 2 ) 1994 (ชนะเลิศ) 1998 (รองชนะเลิศ) 2002 (ชนะเลิศ) 2006 (รอบก่อนรองชนะเลิศ)

ทีมชาติบราซิลผ่านเข้าสู่ศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยการเป็นเจ้าภาพก็จริง แต่ความคาดหวังในการคว้าแชมป์ครั้งนี้ถือว่าสูงมาก เพราะไม่ว่าชาติใดก็แล้วแต่ ต่างคาดหวังถึงการชูถ้วยฟีฟ่า ...

บราซิลถือเป็นดินแดนแห่งฟุตบอลอย่างแท้จริง พวกเขาคือทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้ถึง 5 สมัย และปัจจุบันก็มีการสำรวจมาแล้วว่านักฟุตบอลชาวบราซิเลียนนั้นมีจำนวนเยอะกว่าเกษตรกรด้วยซ้ำ

แต่การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของทัพเซเลเซา ต้องย้อนกลับไปไกลถึง 12 ปีเลยทีเดียว เมื่อคราวที่หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี พาทีมคว้าแชมป์มาครองในทัวร์นาเมนต์ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกัน

แน่นอน บิ๊กฟิลได้รับการคาดหวังอย่างสูงที่จะคว้าแชมป์ในประเทศบ้านเกิดช่วงกลางปีนี้ และหากทำได้สำเร็จเขาจะเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองที่พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ถึงสองครั้งต่อจาก วิตตอริโน ปอซโซ ที่ทำได้ในปี 1934 และ 1938

เฟลิเปาได้รับโอกาสคุมทัพแซมบ้าอีกครั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนแทนที่ของมาโน เมเนเซส หลังทีมทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนักทั้งเรื่องสไตล์การเล่นและผลการแข่งขันในช่วงก่อนหน้านั้น

ฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด ทัพเซเลเซาภายใต้การนำทีมของคาร์ลอส ดุงก้ากัปตันทีมชุดแชมป์โลกเมื่อปี 1994 ถือว่าทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังเมื่อไปได้ไกลเพียงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และต้องตกรอบด้วยน้ำมือของทีมชาติฮอลแลนด์ที่ไปได้ถึงรอบชิงชนะเลิศในเวลานั้น ทำให้เมเนเซสได้เข้ามารับงานต่อแทน

แต่ด้วยสไตล์การเล่นของเมเนเซสสร้างความผิดหวังให้ชาวบราซิเลียนทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาเน้นโต้กลับจนทีมไม่ประสบความสำเร็จในศึกโคปา อเมริกาครั้งล่าสุด เมื่อไปได้ไกลเพียงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น และต้องตกรอบเพราะแพ้การดวลจุดโทษต่อทีมชาติปารากวัย รวมถึงในศึกโอลิมปิกที่กรุงลอนดอนที่พวกเขาทำได้แค่คว้าเหรียญเงินมาครอง เนื่องจากพ่ายแพ้ต่อเม็กซิโกไป 1-2 ในรอบชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์

แม้หลังจากพลาดหวังในศึกโคปา อเมริกาและโอลิมปิก เกมส์ บราซิลจะสามารถเอาชนะในเกมอุ่นเครื่องได้ถึง 6 นัดติดต่อกัน โดย 2 เกมจากใน 6 เกมนั้นเป็นการถล่มจีน 8-0 และอิหร่าน 6-0 แต่ผลงานในเกมกระชับมิตรพบอาร์เจนตินาที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ โฮเซ มาเรีย มาริน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลตัดสินใจปลดเมเนเซสออกจากตำแหน่งพร้อมดันริคาร์โด้ เตเซราและสโคลารีเข้ามาทำทีมอีกครั้ง

ต่อจากนั้นทีมชาติบราซิลภายใต้การนำทัพของเฟลิเปาก็ยังทำผลงานในเกมอุ่นเครื่องได้ค่อนข้างแย่ เมื่อทำได้แค่เสมอชิลีและอังกฤษไป 2-2 ทั้งสองนัด แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินหน้าคว้าชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องโดยชัยชนะนัดแรกของบิ๊กฟิล คือการถล่มทีมชาติฝรั่งเศสไปถึง 3-0 จากการยิงของออสการ์, กาก้าและลูคัส มูรา

ขณะที่ในศึกคอนเฟดเดอเรชันส์ คัพ สโคลารีก็ไม่ทำให้แฟนบอลทั่วทั้งประเทศผิดหวัง เมื่อคว้าแชมป์รายการดังกล่าวมาครองได้สำเร็จด้วยการชนะทีมชาติสเปนเจ้าของแชมป์โลกครั้งล่าสุดพ่วงด้วยแชมป์ ยูโร 2 สมัยไปแบบขาดลอย พร้อมด้วยการแจ้งเกิดของซูเปอร์สตาร์ดวงใหม่อย่างเนย์มาร์ที่คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครอง

ระบบการเล่นของบิ๊กฟิล ถือว่าน่าสนใจมาก เมื่อพวกเขาตัดสินใจหันกลับมาเน้นเกมรุกตามสไตล์บราซิเลียนอีกครั้ง โดยเน้นระบบ 4-3-3  เพื่อสร้างความสมดุลทั้งในเกมรุกและเกมรับ แต่อีกสิ่งที่น่าสนใจคือการเสียดีเอโก้ คอสต้าที่กำลังเจิดจรัสกับแอตเลติโก มาดริด ไปให้ทีมชาติสเปน ทำให้ทางเลือกในตำแหน่งดังกล่าวเหลือน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด

นี่คือโจทย์ของเซเลเซาชุดนี้ที่หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี ต้องตอบให้ได้ว่าเขาจะทำอย่างไรถึงจะคว้าแชมป์ที่บ้านเกิดของตัวเองรวมถึงเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่หก ซึ่งต้องรอคอยมานานถึง 12 ปีให้ได้ เพื่อประกาศศักดาให้ทุกคนรู้ว่าเบอร์หนึ่งแห่งโลกฟุตบอลยังอยู่ที่ทวีปอเมริกาใต้ ไม่ใช่ยุโรป อย่างที่หลายคนเข้าใจ

นักเตะ