ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ซักคำให้ลึกซึ้งกับชัยชนะ 3-1 ของทีมชาติบราซิลในนัดเปิดสนามฟุตบอลโลก 2014 เพราะแค่ออกจากสนาม มาสัมภาษณ์แฟนบอลโครเอเชียกลุ่มหนึ่งแล้วพวกเขาถามว่า ''น้องสาวมาจากญี่ปุ่นรึเปล่าจ๊ะ?'' ก็รู้แล้วว่าชาวบ้านชาวช่อง โดยเฉพาะชาวตาหมา

 แต่ช้าก่อน นี่เพิ่งจะแค่แมตช์แรกจากจำนวน 64 นัดเท่านั้น เปา ยูอิจิ นิชิมูระ อาจไม่ซวยเพียงลำพัง ยังมีอีกหลายเปาที่น่าจะโดนด่าเรื่องนกหวีดหวาน นกหวีดเปรี้ยวอะไรนี่กับเขาเหมือนกัน

 ฟุตบอลก็เป็นเช่นนี้ และเป็นดังคำที่ ''ป๋าเซปป์'' เคยว่าเอาไว้ มันเป็นเรื่องของมนุษย์ ซึ่งผิดพลาดกันได้ เวลาเกิดสกอร์ที่แตกต่างขึ้น ไม่กองหน้าผิดก็กองกลางผิด หรืออีกทีก็กองหลังผิด ผู้รักษาประตูผิด แต่ถ้าคนเหล่านี้ไม่ผิดก็เป็นผู้ตัดสินนั่นแหละที่ผิด

 คนเรามันผิดพลาดกันได้จริงๆ แต่จะยอมรับว่าตัวเองผิดหรือไม่ ก็ลองถาม เซปป์ แบล็ตเตอร์ ผู้รักเก้าอี้ประธานฟีฟ่ายิ่งชีพดู เผลอๆ จะยังไม่รู้ตัวอีกละมั้งว่าผิดมาหลายครั้งแล้ว

 จะอย่างไร เกมนัดเปิดสนามฟุตบอลโลก 2014 ก็ผ่านไปด้วยดีในระดับหนึ่ง ยิ่งเจ้าบ้านชนะด้วยแล้ว บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความชื่นมื่น แต่ช้าก่อน..

 แต่ช้าก่อน...ก่อนขุนพลแซมบ้าจะโขกหมากรุก เกิดเหตุไม่พึงประสงค์ขึ้นหลายจุดในเซา เปาลู ซึ่งก็คือการประท้วงของกลุ่มที่ไม่สบอารมณ์กับฟุตบอลโลก โดยมีรายงานว่าผู้ชุมนุมกว่า 300 คน มารวมตัวกันก่อม็อบบนถนนทางไปสนาม และบางส่วนก็พยายามปิดการจราจร แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามสลายกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยการยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเขาใส่ นอกจากนั้นยังมีผู้ประท้วงอีกหลายร้อยคน เดินเรียกแขกอยู่แถวชายหาดโคปาคาบาน่า ในรีโอ เด จาเนโร

 ยัง..ยังไม่หมด ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินป้ายโครินเธียนส์ อีตาเกร่า ซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายของสายสีแดง หรือป้ายสนามอาเรน่า เด เซา เปาลู ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นที่สถานี Carrao หรือ การ์เฮา เบื้องต้นไม่มีรายงานผู้เด๊ดสะมอเร่ มีแต่ผู้บาดเจ็บ 5 ราย และ 3 ใน 5 เป็นนักข่าวเสียด้วย

 สองในนั้นเป็นคนของ CNN แบ่งเป็นนักข่าว 1 (แชสต้า ดาร์ลิงตัน) กับผู้ผลิตรายการ 1 (บาร์บาร่า อาร์วานิติดิส) แต่พวกเธอก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย คนแรกมีแผลที่แขน ส่วนคนหลังโดนเข้าให้ที่ข้อมือ

 นับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เกิดความวุ่นวายโดยมีฟุตบอลโลกเป็นตัวประกัน และจากนี้ก็ต้องดูตาม้าตาเรือกันอีกว่าเมืองอื่นๆ จะมีม็อบแบบนี้หรือไม่ ชาวบ้านเขากำลังจะสนุกกันแท้ๆ เห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไรน่าจะปล่อยให้งานใหญ่นี้ผ่านไปก่อน

 จากในเมืองสู่สนามอาเรน่า เด เซาเปาลู มีตำรวจและสารวัตรทหารกระจายกำลังกันรักษาความสงบเพียบ ยังความอุ่นใจแก่มวลมหาประชาชนต่างแดนอย่างเรายิ่งนัก และด้วยความที่เกมแรกแห่งเวิลด์ คัพ 2014 หวดกันตั้งแต่เย็นในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ผู้คนเลยหลั่งไหลมากันตั้งแต่ยังไม่เที่ยงวัน ด้านสภาพอากาศที่อึมครึมทั้งลมทั้งฝนมาหลายวันก็สดใสเกินขนาด ทำเอาตับจะแลบกันเลยทีเดียว

 ถามไถ่สาวกลา เซเลเซา ชาวแซมบ้าก่อนเข้าสนาม ทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบราซิลไม่เพียงจะชนะโครเอเชีย แต่จะไปจนถึงฝั่งฝันอีกต่างหาก ซึ่งถ้าดูจากฟอร์มการเล่นในนัดแรกแล้ว เข้าใจว่าคงจะต้องจูนกันอีกหลายจุดกว่าจะถึงเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมรับ

 รับการลงสนามนัดแรกของลา เซเลเซา โดยที่ก่อนหน้าจะมีพิธีเจิมการแข่งขันด้วย ประธานาธิบดี ดิลม่า รุสเซฟ หญิงเหล็กแห่งแดนแซมบ้า ก็ได้เดินทางมาร่วมงาม โดยมาดามรุสเซฟยืนยันก่อนการแข่งขันว่า บราซิลพร้อมแล้วสำหรับฟุตบอลโลก อีกทั้งยังแสดงการต้อนรับแฟนบอลทั่วโลกด้วยการใช้ถ้อยคำที่ว่าบราซิลอ้าแขนรอรับพวกเขาอยู่เหมือนเช่นรูปปั้นพระผู้ไถ่กางแขนตระหง่านอยู่เหนืออ่าวแห่งรีโอ เด จาเนโร นั่นเอง

เฟอร์นันโด (ซ้าย) หนุ่มชาวเซา เปาลู ให้ทรรศนะอย่างมั่นใจก่อนการแข่งขัน
   ว่าบราซิลจะชนะโครเเชีย 3-1 ส่วนน้องโนตมแฟนสาวอวยให้ในสกอร์ 5-1 เลยทีเดียว

 บราซิลอ้าแขนรอรับชาวต่างชาติจากทั่วโลกที่จะมาจอยกันๆ เพื่อการนี้ แต่ก็มีบางส่วนที่เอาแขนจิ๊กของชาวบ้านไป นี่ก็ไม่รู้ว่าปกติคนท้องถิ่นมีชีวิตกันอย่างไร เพราะตามหนังสือท่องเที่ยวหรือบทความต่างๆ รวมทั้งคำแนะนำจากคนพื้นที่ ที่ได้มาทำความรู้จัก มีแต่เรื่องไม่เป็นมงคลทั้งนั้น

 เป็นต้นว่าถ้าโดนปล้น ยอมมอบของให้มันไปซะ อย่าแสดงอาการขัดขืนหรือแหกปากร้องเรียกตำรวจ เพราะมันจะกะซวกเอาได้ โดยส่วนใหญ่แล้วโจรที่มาปล้นจี้ลักเล็กขโมยน้อยของชาวบ้าน มักมีอาวุธด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนั้นยังได้รับคำแนะนำว่า ในกรณีที่ดวงแตกเช่นนั้นจริงๆ อย่าไปจ้องหน้ามัน ดีที่สุดคือก้มหน้าสารภาพบาป คิดซะว่าชาติที่แล้วไปปล้ำอาม่ามันเอาไว้ เพราะการจ้องหน้าพวกมันจะถือเป็นการท้าทาย และมันจะเข้าใจไปว่าเราจะพยายามจำหน้ามันเพื่อไปฟ้องตำรวจ

 โลกดราม่าที่เมืองไทยว่าอยู่ยากแล้ว เจอโลกที่นี่ให้อยู่ยาว คงจะอยู่ไม่ได้เป็นแน่...

 กลับมาที่เรื่องในสนามกันอีกครั้ง ระหว่างนั่งดูพิธีเปิดการแข่งขัน ซึ่งประกอบด้วยการแสดง 5 ชุดด้วยกัน และกินเวลา 25 นาที เริ่มตั้งแต่เวลา 15.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น รู้สึกอยู่อย่างเดียวคือแม้มันจะไม่อลังการงานสร้าง วิลิศมาหราจนคาดไม่ถึง แต่เดชะบุญที่ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดเวลาแบบค่อนข้างเป๊ะ และที่สำคัญ นี่เป็นการบอกพวกบ้าก่อม็อบกลายๆ ว่าพอเถอะค่ะ โลกเขาได้เวลาสนุกกันแล้วนะคะ

 คอนเซปต์ในการจัดโชว์ต่างๆ มาอวดชาวโลก เน้นถึงทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่า และความหลากหลายของชาวบราซิเลียน ทั้งในแง่ชาติพันธุ์ และความรักในการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะความหลงใหลในเสียงเพลง การเต้นรำและฟุตบอล และปิดท้ายด้วยโชว์ไตรมิตรของ พิทบูลล์, เคลาเดีย ไลติ กับ เจนนิเฟอร์ โลเปซ โดยคนกลางนั้นเป็นป๊อป ดีว่า ของบราซิลเขา ถ้าไม่ติดว่าร้องเพลงในภาษาโปรตุกีสเป็นหลัก คงจะดังระดับโลกไปแล้ว เพราะพอขึ้นเวทีระดับนี้ นางก็วัดกับ เจ โล ได้อย่างสูสี

 แต่พูดก็พูดเถอะ ฟีฟ่าน่าจะเปลี่ยนแนวทางเรื่องเพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลโลกอย่างเป็นทางการเสียใหม่ และอย่าให้ใครต่อใครผลิตจนมันเฝือ มีทั้ง World Cup Theme Song กับ Official Song เช่นทุกวันนี้ เพราะจะใช้คำว่าอะไรก็มิได้แตกต่าง ยิ่งพอมาแนวเดิม เอา เจ โล มายักย้ายส่ายตะโพกต่อจาก ชาคีร่า เมื่อ 4 ปีก่อน ด้วยเพลงที่เบากว่า ก็ยิ่งทำให้เพลง We Are One มันไม่เกิด ไม่ต้องดูอื่นไกล ขนาดตัวเองยังจำเพลงนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

 จบจากโชว์พิธีเปิดก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย ว่าไปแล้วก็ไม่อยากจะพูดเรื่องเกมมากนัก เพราะในวันที่มีเกมการแข่งขันเพียงนัดเดียว ทุกหน้าคงจะฝอยเรื่องนี้ไปกันหมดแล้ว

ไฟสนามในช่วงเริ่มค่ำก่อนเข้าสู่ท้ายครึ่งแรกใช้การได้ไม่หมด ไม่ใช่ไฟดับ เพราะมันไม่ติดตั้งแต่แรก

 ในบรรดา 11 ตัวจริงของทั้ง 2 ทีม มีเพียง เฟร็ด กองหน้าแซมบ้าวัย 30 เพียงคนเดียวที่ค้าแข้งอยู่ในลีกบ้านเกิด ที่เหลือล้วนแต่เป็นพ่อค้าแข้งในต่างแดนทั้งนั้น และเสียงกรี๊ดของกองเชียร์บราซิเลียนก็หมดไปกับเนย์มาร์มากกว่าใครเพื่อนตามความคาดหมาย

 โครเอเชียมีลุ้นแต่หัววันด้วยความที่เล่นแบบไม่เกรงกลัวเจ้าถิ่น ยิ่ง อีวิก้า โอลิช, ลูก้า โมดริช และ อีวาน ราคีติช ขยันซะไม่มี แนวรับของบราซิลที่ยังไม่แน่นหนาพอก็รั่ว ดังดูได้จากประตูแรกที่ ติอาโก้ ซิลวา โดนโอลิชแทงบอลลอดขา และพอบอลเลยไปถึง หลุยส์ กุสตาโว่ ก็จับไม่ทันซะอีก

 ในบรรดา 3 ประตูที่บราซิลได้ เห็นจะมีลูกตีเสมอ 1-1 ของเนย์มาร์ที่สมราคาหน่อย และเมื่อเขาเป็นผู้ซัดจุดโทษให้บราซิลด้วยหลังการทิ้งตัวร่วงอันแนบเนียนของ เฟร็ด ดาวเตะขาเดฟก็ต้องเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนประตู 3-1 ของ ออสการ์ นั้นถือว่าแถมให้ ซึ่งถ้าใครไม่ได้ดูเกมอาจคิดว่าบราซิลเหนือชั้นกว่ามาก

 ในเกมก็เรื่องนึง หลังเกมนี่ก็อีกเรื่องนึง เพราะตอนนี้ยังด่าเปาชาวปุ่นกันไม่เสร็จ และไม่เฉพาะแต่แฟนบอลชาวโครแอตและทั่วโลกที่กำลังระบายอารมณ์เรื่องนี้กันอย่างเมามัน หลังเกมที่ นิโก้ โควัช ผู้จัดการทีมชาติโครเอเชีย แกกระแนะกระแหนผู้ตัดสิน ก็อาจทำให้เรื่องบานปลาย เนื่องจากฟีฟ่าฟังแล้วไม่เข้าหูอย่างแรง

 เราคงได้คุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง ส่วนวันนี้จำต้องขอตัดช่องน้อยแต่พอตัว เผ่นไปสนามบินก่อน เนื่องจากชีพจรกำลังลงเท้าให้ต้องล่องใต้ โดยที่ยังไม่รู้ว่ากว่าจะถึงที่หมายจะต้องเจอกับอะไรบ้าง