7MTH.COM
อยู่ที่: หน้าแรก >

คอสตาริกา "บอกโลกว่าข้าไม่กล้วย"

29/06/2014 ขอบคุณ siamsport

 
หาก สเปน เป็นความล้มเหลวแบบช็อกวงการอันดับ 1 ประจำฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล ความสำเร็จสุดเซอร์ไพรส์สำหรับ เวิลด์ คัพ ครั้งนี้ ย่อมหนีไม่พ้น คอสตาริกา ผู้สยบกลุ่มแห่งความตายไว้แทบเท้า

 คอสตาริกา ถูกมองว่าโชคร้ายและเป็นเพียงทีมไม้ประดับใน เวิลด์ คัพ เมืองกาแฟ หลังถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่ม ดี ที่ถูกมองว่าเป็น "กรุ๊ป ออฟ เดธ" เมื่อต้องเจอกับ อุรุกวัย, อังกฤษ และ อิตาลี ที่พกดีกรีอดีตแชมป์โลกกันมาหมด
 
 อย่างไรก็ดี "กล้วยหอม" กลับพิสูจน์ตัวเองให้ทั่วโลกเห็นว่าไม่ได้มาเพื่อแจกแต้ม แต่กลับชิงแต้มจากบรรดายักษ์ร่วมกลุ่มอย่างสนุกเท้า
 
 คอสตาริกา เปิดสนามด้วยการทุบ อุรุกวัย 3-1 ทั้งที่ถูกนำไปก่อน ตามด้วยการเชือด อิตาลี 1-0 และ เสมอ อังกฤษ 0-0 พร้อมตีตั๋วสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการคว้าแชมป์กลุ่ม ดี อย่างพลิกความคาดหมาย
 
 ทั้งนี้ ทั้งนั้น ต้องยกความดีความชอบให้ ฮอร์เก้ หลุยส์ ปินโต้ นายใหญ่ทีมชาติคอสตาริกา ที่ถึงกับอดตาหลับขับตานอนเพื่อศีกษาจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่งก่อนนำมา ปรับใช้กับทัพ "กล้วยหอม" จนได้สูตรการเล่นอันแข็งแกร่งอย่างที่ทั่วโลกได้เห็นกันมาแล้ว
 
 คอสตาริกา เล่นในระบบ 5-4-1 โดยแนวรับเป็น 3 ปราการหลังตรงกลางและวิงแบ็กขวา-ซ้ายที่ดูจะรับผิดชอบเกมรับมากกว่าระบบวิง แบ็กของ ฮอลแลนด์ และ ชิลี แต่ว่าก็ไม่ได้เน้นตั้งรับเพียงอย่างเดียว
 
 อย่าง ไรก็ดี พวกเขาทราบดีถึงศักยภาพและขอบเขตของตัวเอง เนื่องจากไม่พึ่งพาการครองบอลเป็นหลัก โดย คอสตาริกา เป็นทีมอันดับ 8 ที่ครองบอลน้อยที่สุดหลังผ่านนัดแรกด้วยตัวเลข 42.5 เปอร์เซ็นต์
 
 แม้ เป็นฝ่ายปล่อยให้คู่แข่งได้ครองบอลเหนือกว่าตลอด แต่จุดแข็งของพวกเขาอยู่ที่การไม่เปิดให้คู่ต่อสู้ปักหลักในพื้นที่อันตราย นั่นเอง ในเกมกับ อิตาลี พลพรรค "อัซซูรี่" ครองบอลไปถึง 61 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อดูจากแอ็คชั่นโซนแล้ว จะเห็นได้เลยว่าลูกบอลถูกเล่นในพื้นที่หน้าประตูของ อิตาลี (26 เปอร์เซ็นต์) มากกว่าของ คอสตาริกา (22 เปอร์เซ็นต์)
 
 ชัดเจนว่ามัน เป็นกลยุทธที่ลบล้างทฤษฎีที่ว่าทีมที่เป็นรองต้องไล่เพรสซิ่งคู่แข่งไปทั่ว สนาม ลูกทีมของ ปินโต้ ไม่ได้ดันขึ้นไปไล่บอลสูง 2 แนวรุกคนสำคัญของ คอสตาริกา อย่าง โจเอล แคมป์เบลล์ และ ไบรอัน รุยซ์ เข้าสกัดบอลเพียง 2 ครั้งเท่านั้น
 
 อย่างไรก็ดี เมื่อบอลผ่านเส้นกลางสนามมาถึงเขตแดนของพวกเขา คอสตาริกา จะเริ่มบีบคู่แข่งทันที โดยมีเพียง 5 ชาติเท่านั้นที่ทำสถิติครองบอลในพื้นที่กลางสนามต่อเกมได้มากกว่า "กล้วยหอม" (23.5 เปอร์เซ็นต์)
 
 พื้นที่ตรงนี้เป็นหน้าที่สำคัญของ คู่วิงแบ็กของ คอสตาริกา คริสเตียน กัมบัว และ จูเนียร์ ดิอาซ รับหน้าที่เข้าแท็คเกิ้ลคู่แข่งมากที่สุดในทีมด้วยตัวเลข 9 และ 7 ครั้งตามลำดับ
 
 ในเกมกับ อิตาลี แสดงผังตำแหน่งของแข้งคอสตาริกาที่เห็นเลยว่า รุยซ์ และ คริสเตียน โบลันญอส มักจะหุบเข้ากลางมาช่วยทำเกมรุกข้างหลัง แคมป์เบลล์
 
 เป็นเหตุให้ 2 มิดฟิลด์อย่าง เซลโซ่ บอร์เคส กับ เยลต์ซิน เตเฮด้า เน้นการคุมเกมกลางสนาม และก็ได้ผลอย่างยิ่งในการตามประกบ อันเดรีย ปีร์โล่ จอมทัพทีมชาติอิตาลี แทบไม่มีพื้นที่และเวลาในการบัญชาเกม เหมือนว่า คอสตาริกา เห็นบทเรียนจาก อังกฤษ ที่ปราชัยต่อ อิตาลี 1-2 เมื่อปล่อยให้ ดาวเตะจาก ยูเวนตุส ได้สร้างสรรค์เกมอย่างอิสระ
 
 ขยับมาดูแนวรับกันบ้าง 3 ปราการหลังของ คอสตาริกา ประกอบด้วย จานการ์โล กอนซาเลซ ปักหลักตรงกลาง โดยขนาบข้างด้วย ออสการ์ ดูอาร์เต้ และ ไมเคิ่ล อูมันญ่า
 
 เสาหลัก ของแผงหลังของ "กล้วยหอม" เป็น กอนซาเลซ ที่จัดการรับมือลูกกลางอากาศได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในเกมกับ อิตาลี ดาวเตะเจ้าของความสูง 191 เซนติเมตร เอาชนะการดวลกลางอากาศได้ทั้ง 5 และทำสถิติชนะ 8 จาก 9 ครั้งใน 2 นัดแรก
 
 ส่วน 2 แนวรับเคียงข้างอย่าง ดูอาร์เต้ และ อูมันญ่า ไม่ใช่กองหลังประเภทเห็นบอลแล้วหวดตูมตามสไตล์ทีมรองบ่อน พวกเขาเป็นตัวตั้งเกมจากแดนหลังด้วยความนิงและสุขุมมากกว่า ดูอาร์เต้ จ่ายบอลเข้าเป้าถึง 89 เปอร์เซ็นต์ ส่วน อูมันญ่า ทำดีไม่ต่างกันเท่าไรที่ 86 เปอร์เซ็นต์
 
 มาถึงอาวุธลับของ คอสตาริกา แม้จะไม่มี อัลวาโร่ ซาบอริโอ ดาวยิงตัวเก๋าเจ้าของสถิติยิงประตูให้ทีมชาติมากที่สุดในยุคนี้ ซึ่งได้รับบาดเจ็บจนต้องถอนตัวไป แต่ แคมป์เบลล์ กลับสวมบทบาทหัวหอกประจำทีมได้อย่างแนบเนียน แถมจะดูดีกว่าด้วยซ้ำ
 
 ก่อน หน้านี้ แคมป์เบลล์ เพิ่งสร้างชื่อขึ้นมาให้แฟนบอลหลายคนพอกระดิกหูว่าเป็นดาวรุ่งของ อาร์เซน่อล ที่ไปทำผลงานยอดเยี่ยมระหว่างสัญญายืมตัวกับ โอลิมเปียกอส ในซีซั่นที่ผ่านมา
 
 กระนั้น แคมป์เบลล์ ฝากชื่อและผลงานในฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วยการรับบทหัวหมู่ทะลวงฟันในแนวรุกของ "กล้วยหอม" ด้วยความเร็วอันจัดจ้าน โดยนัดแรกเจ้าตัวทำ 1 ประตูและ 1 แอสซิสต์พาทีมแซงคว้าชัยเหนือ อุรุกวัย 3-1 แบบช็อกวงการ
 
 แม้จะไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดหลังจบรอบแรก แต่คงไม่มีใครเถียงหากจะบอกว่าผลงานของ คอสตาริกา ถือว่าอยู่ในระดับมาสเตอร์พีซ
 
 พวก เขาไม่ได้เน้นการครองบอลเป็นหลัก แต่ก็โดนยิงเฉลี่ยเพียง 9.3ครั้งต่อเกมเท่านั้น มากกว่าแค่ 2 ประเทศเท่านั้น ส่วนในเกมรุก "กล้วยหอม" มีโอกาสทำประตูเฉลี่ย 9.3 ครั้งต่อนัดเช่นกันแต่กลับได้ 4 ประตูล้ำค่าเป็นรางวัลตอบแทน
 
 หาก ชิลี ได้รับเครดิตสำหรับการเล่นด้วยความมุ่งมั่นและพละกำลังที่ทำให้พวกเขาเขี่ย สเปน ตกรอบแรกพร้อมทั้งเป็นฝ่ายชิงตั๋วสู่รอบสองแทนที่ คอสตาริกา ภายใต้การนำทัพของ ปินโต้ ก็สมควรได้รับคำสรรเสริญเช่นกันสำหรับการก้าวมาถึงจุดนี้ได้สำเร็จ ทั้งที่ถูกมองว่าเป็นทีมเต็งแชมป์อันดับ 31 ตั้งแต่ก่อนเปิดฉากการแข่งขัน
 
 เวลา นี้ คอสตาริกา เดินตามรอยรุ่นพี่เมื่อปี 1990 ได้สำเร็จด้วยการผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ ฟุตบอลโลก เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ และมีโอกาสสูงเสียด้วยที่จะไปไกลกว่าเดิมเมื่อคู่แข่งในรอบต่อไปของพวกเขา กรีซ ที่แทบจะเอาตัวไม่รอดจาก กลุ่ม ซี นั่นเอง!
ข่าวฮอต
  ไม่ฝืน! ฟีร์มิโนเจ็บถอนทัพแซมบ้าชุดคัดบอลโลก

ไม่ฝืน! ฟีร์มิโนเจ็บถอนทัพแซมบ้าชุดคัดบอลโลก

แนวรุกบราซิเลียนของหงส์แดง ตัดสินใ...
  • ตารางคะแนน
  • ดาวซัลโว
    • A
    • B
    • C
    • D
    • E
    • F
    • G
    • H
  • เรียงลำดับ นักฟุตบอล ทีม ประตูรวม(จุดโทษ)
เมือง&สนาม
ชิงอันดับฟุตบอลโลกที่ผ่านมา
  • ปี
  • ชนะเสิศ
  • รองชนะเสิศ
  • อันดับ 3