4 ทีมที่ฝ่าด่านอรหันต์เข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศ ล้วนเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และโดดเด่นตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา โดย 3 จาก 4 ทีมที่ว่า เคยก้าวเป็นแชมป์โลกแล้วด้วยกันทั้งสิ้น
 
 ในคู่ของ บราซิล กับ เยอรมัน มีเรื่องราวและปูมหลังที่น่าสนใจ
 
 คู่นี้เคยนัดดวลฝีเท้ากันอยู่บ่อยครั้ง ทว่าเป็นเกมกระชับมิตรเสียส่วนใหญ่
 
  เกม ทางการที่เคยพบกันครั้งล่าสุด และเป็นเพียงครั้งเดียวด้วยนั้นคือนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ
 
 ยุคนั้น บราซิล เป็นยอดทีมที่ฟอร์มเปล่งปลั่งที่สุด และยากจะหาใครเทียบเคียง
 
 ขุน พลแซมบ้ายุคนั้นเต็มไปด้วยสตาร์ดังมากมายทั้ง โรนัลดินโญ่, ริวัลโด้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส แถมยังมีกัปตันทีมสุดแกร่งอย่าง คาฟู เป็นแกนนำ ส่วนโค้ชของทีมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ คนนี้นี่เอง
 
 ฝั่ง เยอรมัน ก็เป็นอีกทีมที่ฟอร์มเด็ดดวงที่สุดในทัวร์นาเมนต์ ยิงประตูคู่แข่งเบ็ดเสร็จ 14 ประตู เสียไปเพียงประตูเดียวก่อนเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
 
 ต้องขอบคุณฟอร์มการเซฟอันเหนียบหนึบของ โอลิเวอร์ คาห์น ยอดนายด่านระดับตำนานที่ช่วยปกป้องประตูจนทีมกรุยทางมาถึงรอบชิงฯ
 
 และ ก็ต้องขอบคุณทั้ง มิชาเอล บัลลัค และมิโรสลาฟ โคลเซ่ (อยู่ในทีมชุดปัจจุบัน) ที่เล่นเข้าขากัน โดยที่ฝ่ายหลังกระหน่ำไปถึง 8 ประตู
 
 ทีม "อินทรีเหล็ก" เสียท่าต่อความร้ายกาจของ โรนัลโด้ ที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มท็อปสุดๆ
 
 "เหยินใหญ่" เป็นคนสังหาร 2 ประตูในเกมนั้น ช่วยขุนพลแซมบ้าคว้าแชมป์โลกสมัย 5 มาครองได้สำเร็จ
 
 ในฟุตบอลโลก 2014 บราซิล โคจรมาพบกับ เยอรมัน อีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ
 
 บราซิล เจอข่าวร้ายที่รุนแรงที่สุดจากการเสีย เนย์มาร์ สตาร์ตัวรุกคนเก่งของทีมจากการบาดเจ็บกระดูกสันหลังร้าว จนปิดเทอมบอลโลกไปเรียบร้อยแล้ว
 
 บนเส้นทางฟุตบอลโลกหนนี้ เนย์มาร์ เป็นนักเตะที่สร้างประโยชน์ให้กับทีมมากที่สุด 
 
 ยิง ไปแล้ว 4 ประตู จากโอกาสยิงทั้งหมด 18 ครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนได้อีก 13 ครั้ง และสัมผัสบอลในแดนคู่ต่อสู้ถึง 241 ครั้ง มากที่สุดในทีม
 
 การขาด หายไปของ เนย์มาร์ ส่งผลต่อเกมรุกบราซิลแน่นอน แต่ข่าวร้ายยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะยังต้องขาด ติอาโก้ ซิลวา เซนเตอร์แบ็กกัปตันทีมที่จะติดโทษแบนในเกมหน้า
 
 ซิลวา มีค่าเฉลี่ยเข้าปะทะ 1 ครั้งต่อเกม ตัดบอล 1.4 ครั้ง เคลียร์บอลเฉลี่ยเกมละ 9 ครั้ง จากการลงสนามทั้ง 5 นัดให้กับบราซิลในทัวร์นาเมนต์นี้ ได้รับเรทติ้งจากเว็บไซต์ ฮูว์สกอร์ 7.43 คะแนน
 
 มีความเป็นไปได้ ว่า วิลเลี่ยน จะได้โอกาสลงเล่นในตำแหน่งของ เนย์มาร์ ส่วนตำแหน่งเซนเตอร์ของ ติอาโก้ ซิลวา น่าจะเป็น เอ็นริเก้ ที่ได้โอกาสก่อน ดันเต้
 
 การที่บราซิลขาดคีย์แมนไปพร้อมๆกันถึงสองคน เชื่อว่า บิ๊กฟิล จะต้องถอย แฟร์นันดินโญ่ และเปาลินโญ่ (หรืออาจเป็น หลุยส์ กุสตาโว่) ต้องลงต่ำเพื่อช่วยเกมรับ และการวางแท็คติกดังกล่าวจะทำให้ บราซิล เสียโอกาสในการทำเกมรุกด้วย
 
 แท็ค ติก ดังกล่าวเป็นโอกาสดีที่ โยกี้ เลิฟ จะสั่งให้ลูกทีมดันเกมขึ้นสูงกว่าเดิม แล้วใช้ความสามารถของทั้ง เมซุต โอซิล, มาริโอ เกิทเซ่ และโธมัส มุลเลอร์ ขยี้แบ็กทั้งสองข้างที่โชว์ฟอร์มในทัวร์นาเมนต์นี้ได้ต่ำกว่ามาตรฐานกับ สโมสร
 
 การใช้เกมรุกบดห้ำหั่นแนวรับที่ยืนกันแน่นอาจเป็นเกมที่อึด อัด แต่ เยอรมัน ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในเกมกับฝรั่งเศส
 
 ในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ "อินทรีเหล็ก" มีโอกาสสับไกรวมกันเพียง 9 ครั้ง ซึ่งมีเพียง 3 ครั้งเท่านั้นที่ตรงเป้า
 
 อย่างไรก็ตาม เยอรมัน สามารถเปลี่ยน 1 ใน 3 ครั้งดังกล่าวให้เป็นประตู ซึ่งกลายเป็นประตูชัยของพวกเขาด้วย
 
 จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 12 ปีเต็มที่บราซิลยัดเยียดความปราชัยให้กับเยอรมันแบบสุดแสบสัน
 
 การ พบกันครั้งนี้เป็นโอกาสครั้งสำคัญไม่ใช่สำหรับแค่ เยอรมัน ที่จะได้ชำระแค้น หากแต่ บราซิล ก็มีโอกาสจะทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้เช่นกัน เพราะแม้ว่าจะขาดผู้เล่นตัวหลักไป แต่อย่าลืมว่าพวกเขามีผู้เล่นคนที่ 12 คอยให้กำลังใจอยู่เต็มสแตนด์
 
 หลายปัจจัยชี้ชวนให้การปะทะกันครั้งนี้ของ เยอรมัน และบราซิล เป็นอีกคู่ที่มีอัตราความน่าสนใจมากที่สุด
 
 ศึกหนนี้จะเป็นการ "แก้มือ" หรือ "ย้ำแค้น" 8 กรกฎาคมนี้ รู้กัน...

"ตุ้ย พันเข็ม"

 เครดิต : หนังสือพิมพ์ "สปอร์ตแมน"