วันนี้เราจะมาโหมโรงนัดตัดเชือกคู่ที่ 2 ระหว่าง ฮอลแลนด์ กับ อาร์เจนตินา ที่สนาม อารีน่า เด เซา เปาลู เมืองเซา เปาลู
 
 อาร์เจนตินา เดินทางเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ในฐานะแชมป์กลุ่ม เอฟ ด้วยสถิติชนะ 3 นัดรวดก่อนเชือด สวิตเซอร์แลนด์ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ และมาคว่ำ เบลเยียม 1-0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่ผ่านมา
 
 ด้าน ฮอลแลนด์ ระเบิดฟอร์มเด่นไม่แพ้กันด้วยการฟาดชัย 3 เกมติดในรอบแบ่งกลุ่มพร้อมเข้าป้ายในตำแหน่งแชมป์กลุ่ม บี โดยโกงความตายยิง 2 ลูกรวดแซง เม็กซิโก 2-1 แล้วดับ คอสตาริกา ในการดวลจุดโทษตัดสิน 4-3 หลังเสมอกัน 0-0 ในช่วงเวลา 120 นาที
 
 ความพร้อมล่าสุดของ "อัลบิเชเลสเต้" พวกเขาได้รับข่าวร้ายเมื่อ อังเคล ดิ มาเรีย แนวรุกคนสำคัญจาก เรอัล มาดริด ได้รับบาดเจ็บต้นขาจากเกมล่าสุด โดยมีรายงานข่าวล่าว่าเจ้าตัวจะพลาดลงสนามในเกมรอบรองชนะเลิศแน่นอนแล้ว
 
 แม้ หลายคนจะคิดว่า ลิโอเนล เมสซี่ กองหน้ากัปตันทีม จะเป็นหัวใจสำคัญของทัพ "ฟ้าขาว" แต่ใน เวิลด์ คัพ ฉบับกาแฟ ดิ มาเรีย นับเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญสำหรับที่พวกเขาก้าวมาถึงจุดนี้ได้สำเร็จ
 
 พอ ล คาร์ ผู้สื่อข่าวของ อีเอสพีเอ็น เปิดเผยสถิติล่าสุดว่า ดิ มาเรีย เป็นผู้นำในแนวรุกทัพ "อัลบิเชเลสเต้" ด้วยการส่องประตู 24 ครั้งและได้สัมผัสบอลในพื้นที่หน้าประตูคู่แข่งทั้งสิ้น 187 ครั้ง ทำให้พึงระลึกไว้ได้เลยว่า อเลฮานโดร ซาเบย่า คงต้องปวดหัวในการจัดทัพใหม่อีกครั้ง
 
 ก่อนหน้านี้ อาร์เจนตินา เพิ่งเสียกองหน้าคนสำคัญอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่บาดเจ็บกล้ามเนื้อ โดยเชื่อกันว่าน่าจะคัมแบ็กได้หากพวกเขากรุยทางสู่รอบชิงได้สำเร็จ ทำให้ เอเซเกล ลาเวซซี่ ได้โอกาสเสียบเป็นตัวจริง แต่เหมือนว่ายังยากที่จะมีอิทธิพลต่อทีมในระดับเดียวกับ หัวหอกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
 
 ล่าสุด การเสีย ดิ มาเรีย ไปอีกคนทำให้ ซาเบย่า ต้องคิดหนักสำหรับการหาตัวแทนโดยน่าจะมี 2 เลือกหลักๆคือ มักซี่ โรดริเกซ กองกลางตัวเก๋า ในกรณีที่เน้นเกมรุก หรือ เอ็นโซ่ เปเรซ ในกรณีเน้นเกมรับ
 
 อย่าง ไรก็ดี พวกเขายังพอได้ชื่นใจบ้างจากเกมล่าสุดเมื่อได้เห็น กอนซาโล่ อิกวาอิน หยุดปืนฝืดในการรับใช้ชาติได้แล้ว หลังยิงประตูชัยตั้งแต่ต้นเกม ซึ่งนับเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในสีเสื้อ "ฟ้าขาว" ตั้งแต่เกมกับ อิตาลี เมื่อเดือน ส.ค. ปี 2013
 
 ฝั่ง "อัศวินสีส้ม" ไร้เงา ไนเจล เดอ ยอง ที่ต้องปิดฉากตัวเองในฟุตบอลโลกเรียบร้อยแล้ว แต่ดูแล้วคงไม่เป็นปัญหามากนักเมื่อทุกคนพร้อมสลับตำแหน่งมาทดแทนตามสไตล์ "โททั่ล ฟุตบอล" อันเลื่องชื่อของพวกเขาอยู่แล้ว
 
 แนวรุกของ ฮอลแลนด์ เป็นจุดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัยด้วยการระเบิดฟอร์มเทพของ อาร์เยน ร็อบเบน ในตำแหน่งกองหน้า บวกกับการมีตัวเป้าชั้นยอดอย่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ แม้จะไม่มีชื่อเป็นผู้ทำประตูในเกมกับ คอสตาริกา แต่พวกเขาก็ช่วยกันขึงเกมรุกกดดันทัพ "กล้วยหอม" อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเกม
 
 นอก จากนี้ "กังหันลม" ยิ่งมั่นใจเข้าไปอีกภายใต้การนำทัพของ หลุยส์ ฟาน กัล ที่โชว์มันสมองเลี่ยมทองกับการกล้าตัดสินใจในช่วงเวลาวิกฤตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเป็นการส่ง ทิม ครูล นายด่านมือสอง ลงไปเฝ้าเสาในการดวลจุดโทษตัดสินโดยเฉพาะและก็เซฟได้ถึง 2 ลูกช่วยให้ ฮอลแลนด์ ลิ่วสู่รอบตัดเชือกได้สำเร็จ
 
 เมื่อพลังเกมรุกพอฟัดพอ เหวี่ยงกัน ทำให้เกมอาจต้องตัดสินด้วยการครอบครองบอล โดยในเกมล่าสุดของทั้งคู่ ฮอลแลนด์ เก็บบอลไว้ได้ถึง 67 เปอร์เซ็นต์ในเกมกับ คอสตาริกา ส่วน อาร์เจนตินา ทำได้เพียง 46 เปอร์เซ็นต์ในนัดดวลกับ เบลเยียม
 
 กุญแจสำคัญของ อาร์เจนตินา อยู่ที่การเครื่องร้อนเร็ว ในช่วง 20 นาทีแรกของ 5 เกมที่ผ่านมา "ฟ้าขาว" ยิงเข้ากรอบไปทั้งหมด 15 ครั้ง แต่เมื่อรวมจนถึง 45 นาทีแรก พวกเขามีโอกาสยิงทั้งสิ้น 37 ครั้ง และมีโอกาสทำประตู 27 ครั้ง
 
 ส่วน ฮอลแลนด์ เป็นพวกเครื่องร้อนช้า ในช่วง 20 นาทีแรกของ 5 เกมที่ผ่านมา พวกเขายิงเข้ากรอบแค่ 3 ครั้ง โดยมีโอกาสส่องแค่ 19 ครั้งเมื่อรวมถึง 45 นาทีแรก แถมมีโอกาสทำประตูแค่ 12 ครั้ง เนื่องจากขุนพล "อัศวินสีส้ม" ชอบมาเน้นเกมในครึ่งหลัง โดย 8 จาก 10 ประตูล่าสุดของพวกเขาใน เวิลด์ คัพ เกิดขึ้นหลังผ่านไปแล้ว 60 นาที แถม 5 เกมที่ผ่านมาพวกเขาจบด้วยผลเสมอในช่วงพักครึ่งตลอด
 
 ทั้ง นี้ทั้งนั้น จากสถิติทั้งหมดที่ผ่านมา อาร์เจนตินา จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1990 หรือ ฮอลแลนด์ จะทะลุถึงนัดชิงดำติดต่อกัน 2 สมัยเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากยุค 1974 และ 1978 ได้สำเร็จ ติดตามความระทึกใจครั้งนี้ได้ในวันพุธที่ 9 ก.ค. นี้
 
 

 "ฮอลแลนด์ - อาร์เจนตินา" ในความทรงจำ
 
 แม้ อาร์เจนตินา กับ ฮอลแลนด์ จะไม่ค่อยได้เผชิญหน้ากันบ่อยครั้งในฟุตบอลโลก แต่ทุกครั้งที่โชคชะตานำพาให้พวกเขามาพบกันนั้น ถือว่าได้ว่ามีเรื่องราวให้ได้ระทึกกันตลอด
 
 ค้นสถิติดูแล้วใน เวิลด์ คัพ ทั้งคู่พบกัน 4 ครั้ง ฮอลแลนด์ ชนะ 2 อาร์เจนตินา ชนะ 1 เสมอ 1 การดวลกันครั้งแรกใน ฟุตบอลโลก 1974 "อัศวินสีส้ม" ถล่มไปสบายๆ 4-0 ครั้งต่อมาใน ฟุตบอลโลก 1978 อาร์เจนตินา ที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ ถอนแค้นด้วยการถลุง 3-1 พร้อมคว้าแชมป์โลกสมัยแรกอย่างยิ่งใหญ่ และครั้งล่าสุดเมื่อปี 2006 จบลงด้วยผลเสมอ 0-0
 
 แต่หากจะหาเกมที่ อยู่ในความทรงจำแบบตราตรึงใจมากที่สุด ต้องยกให้เกมในรอบก่อนรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1998 อาร์เจนตินา จบด้วยสกอร์ 1-1 กับ ฮอลแลนด์ ในช่วง 90 นาที โดย แพทริค ไคลเวิร์ต ทำประตูขึ้นนำให้ "กังหันลม" แต่ เคลาดิโอ โลเปซ ตามตีเสมอให้ "อัลบิเชเลสเต้" ได้สำเร็จ
 
 โดยในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ฮอลแลนด์ เหลือ 10 จากการที่ อาร์เธอร์ นูมัน โดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกไป แต่อีก 3 นาทีจะหมดเวลา อาเรียล ออร์เตก้า เพลย์เมกเกอร์อาร์เจนตินา โดนใบแดงจากการเฮดบัตต์ใส่ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ นายด่าน "อัศวินสีส้ม" ที่เข้ามาโวยเนื่องจากเห็นว่า ออร์เตก้า พุ่งล้มหวังเอาจุดโทษ
 
 แล้วช่วงเวลาแห่งความทรงจำก็เกิดขึ้นในช่วง นาที 89 แฟรงค์ เดอ บัวร์ โยนยาวระยะ 70 หลาเข้าเขตโทษ "ฟ้าขาว" ให้ เดินนิส เบิร์กแคมป์ ดูดบอลลงด้วยขวาอย่างนิ่มนวลแล้วล็อกหลบ โรแบร์โต้ อยาล่า เข้าไปดีดด้วยขวาติดไซด์ก้อยเสียบตาข่ายอย่างสวยงามเป็นประตูชัยให้ ฮอลแลนด์ เดินหน้าสู่รอบตัดเชือกได้ในท้ายที่สุด