ผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
แชมป์โลก (1966)

ในที่สุด พวกเขาก็ทำงานสำเร็จ เส้นทางในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2014 ของอังกฤษอาจจะไม่ได้สวยหรูเหมือนทีมใหญ่ทีมอื่นๆ แต่ให้หลังจากที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม ยิงเข้าไปเป็นประตูที่สองในเกมสุดท้ายกับโปแลนด์ ทีมของ รอย ฮ็อดจ์สัน ก็รู้ว่าพื้นที่ในบราซิลของพวกเขานั้นปลอดภัยแล้ว โดยตลอดการเล่นในรอบคัดเลือก ทัพ ทรี ไลออนส์ สามารถทำในสิ่งที่ต้องทำได้ทั้งหมด ทั้งการเข่นเอาชนะทีมปลาซิวปลาสร้อย, หลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้เวลาเล่นนอกบ้าน และชนะเกมสำคัญๆ ที่ต้องชนะ

แม้ว่าจะสามารถคว้าแชมป์กลุ่มเอช ด้วยสถิติไร้พ่าย แต่ความคาดหวังของชาวเมืองผู้ดีก็คงจะไม่ได้มากมายเท่าครั้งก่อนๆ แล้ว เหตุเพราะการสร้างความผิดหวังต่อเนื่องของทีมสิงโตคำรามในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในช่วงหลัง จนทำให้ความจริงบังเกิดว่าพวกเขามีศักยภาพแค่ไหนนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่ได้ไปเล่นรอบสุดท้ายในยูโร 2008 หรือผลงานที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในแอฟริกาใต้ 2010 การคว้าแชมป์โลกที่เคยทำได้เมื่อปี 1966 จึงกลายเป็นแค่ความทรงจำของคนรุ่นหลังเพียงเท่านั้น โดยว่ากันว่ารอบก่อนรองชนะเลิศ ดูจะเป็นเป้าหมายที่มันจับต้องได้มากที่สุดในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การทำทีมของฮ็อดจ์สันขุมกำลังสิงโตชุดล่าสุดก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นให้เห็น นักเตะหน้าใหม่อย่าง แดเนียล สเตอร์ริดจ์ หรือ แอนดรอส ทาวน์เซนด์ ต่างก็พิสูจน์สามารถเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในแนวรุกได้อย่างล้ำค่า ขณะที่ เวย์น รูนี่ย์ ก็ยุติประเด็นวุ่นวายเรื่องอยากย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา จนมายิงให้ทีมได้ถึง 7 ประตู ซึ่งตลอดการเล่นรอบคัดเลือก โดยเฉพาะในสองเกมสุดท้าย อังกฤษได้โชว์ให้เห็นถึงผลงานขั้นสุดยอด ที่มันทำให้พวกเขาดูน่ากลัวขึ้นมาเยอะทีเดียว

ความท้าทายในการพาทีมลุย เวิลด์ คัพ หนนี้ของฮ็อดจ์สัน ก็คือการลบล้างความล้มเหลวของทีมชุดก่อนๆ ที่จริงพวกเขาไม่ได้ไปฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายแค่ 3 ครั้ง นับตั้งแต่เล่นทัวร์นาเมนต์นี้ครั้งแรกเมื่อปี 1950 แต่นอกเหนือจากตำแหน่งแชมป์ปี 1966 พวกเขาก็ทำได้ดีสุดแค่การคว้าอันดับ 4 ในปี 1990 เท่านั้น อีกเรื่องที่ดูจะเป็นปัญหาก็คือการที่มักจะโชคร้ายในการดวลจุดโทษบ่อยครั้ง สิ่งนี้ได้ตามหลอกหลอนชาวอิงลิชมาอย่างยาวนานแล้ว โดยครั้งล่าสุดก็คือการแพ้ต่ออิตาลี ในรอบก่อนรองชนะเลิศยูโร 2012 ถ้าสามารถก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ได้ อังกฤษก็จะไปได้ไกลเลย

กุนซือ  รอย ฮ็อดจ์สัน

กุนซือมากประสบการณ์วัย 66 ปี เคยคุมทีมระดับสโมสรมาแล้วมากมายทั้งในอังกฤษ, สวีเดน, เดนมาร์ก, สวิตเซอร์แลนด์, อิตาลี และนอร์เวย์ และยังเคยพาทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ไปเล่นรอบสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1994 ด้วย ฮ็อดจ์สันเข้ามากุมบังเหียนทีมสิงโตคำรามเป็นเวลาไม่กี่เดือนก่อนที่ศึกยูโร 2012 จะเปิดฉากขึ้น ก่อนจะพาทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว

กัปตัน สตีเว่น เจอร์ราร์ด

"สตีวี่ จี" ผ่านประสบการณ์มากมายหลายอารมณ์ตลอดอาชีพการค้าแข้งในฟุตบอลโลกของเขา อาการบาดเจ็บที่มาผิดที่ผิดเวลา ทำให้ต้องพลาดการไปเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น 2002 สี่ปีต่อมา การพลาดจุดโทษระหว่างการดวลเป้ากับโปรตุเกส จนเป็นส่วนทำให้ทีมตกรอบก่อนรองชนะเลิศ เวิลด์ คัพ 2006 ก็เป็นอีกความทรงจำที่น่าเจ็บปวด บทบาทในทีมของเจอร์ราร์ดยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องลูกเข้าปะทะ หรือสไลด์อันหนักหน่วง รวมถึงการจ่ายลูกคิลเลอร์พาสที่มีประสิทธิภาพ อังกฤษจะต้องหวังให้ความผิดหวังของเจ้าตัวในอดีต เป็นแรงขับเคลื่อนให้ดาวเตะวัย 33 ปี ผลิตฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาให้ได้

คีย์แมน เวย์น รูนี่ย์

หลังจากผ่านเรื่องชุลมุนในช่วงซัมเมอร์ที่แบะท่าจะย้ายไปร่วมทีมเชลซี รูนี่ย์ก็กลับมามีสมาธิ และเล่นแบบทุ่มเทเต็มร้อยให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด ซีซั่นนี้ ส่วนในทีมชาติอังกฤษ เขาจบรอบคัดเลือกด้วยการเป็นดาวยิงสูงสุดในทีม ที่จำนวน 7 ลูก จากการลงสนามเพียง 6 นัด กับบทบาทกองหน้าตัวต่ำในสูตรการเล่น 4-4-2 แบบเฉพาะทางของ รอย ฮ็อดจ์สัน หัวหอกวัย 28 ยังคงเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์ที่สุด และเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในแนวรุกทีมสิงโตคำราม จากการที่เขายังคลำเป้าไม่เจอเลยแม้แต่หนเดียวใน เวิลด์ คัพ อังกฤษจะต้องภาวนาให้รูนี่ย์ เรียกฟอร์มเก่งเหมือนอย่างในรอบคัดเลือกมาช่วยทีมให้ได้

ดาวรุ่ง  แอนดรอส ทาวน์เซนด์

ทุกคนต้องตกตะลึงเมื่อ รอย ฮ็อดจ์สัน ให้โอกาส ทาวน์เซนด์ในการประเดิมสนามให้ทีมชาติอังกฤษ ในฐานะตัวจริงในเกมรอบคัดเลือกกับมอนเตเนโกร ปีกจอมเลื้อยวัย 22 ตอบแทนทันที ด้วยการยิงหนึ่งเม็ด และมีส่วนสำคัญในการพาทีมชนะ ผลงานอันหวือหวาในเกมต่อมากับโปแลนด์ ทำให้ทาวน์เซนด์อยู่ในสถานะกำลังหลักของทีมสิงโตคำรามทันที เขาโดดเด่นขึ้นมาอย่างน่าทึ่งกับสเปอร์สในซีซั่นนี้ หลังจากเคยถูกปล่อยไปเล่นยืมตัวกับหลายต่อหลายสโมสร