เยอรมนี (แชมป์กลุ่มซี รอบคัดเลือก)
ผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
แชมป์โลก (1954, 1974, 1990)
ซัมเมอร์นี้ ทีมอินทรีเหล็กจะเดินทางไปลงแข่งขันในศึกเวิลด์ คัพ เป็นครั้งที่ 18 พวกเขาเป็นรองแค่ชาติเจ้าภาพอย่างบราซิลทีมเดียวเท่านั้น สำหรับสถิติการปรากฏตัวในรอบสุดท้าย ทีมของ โยอัคคิม เลิฟ ตบเท้าผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายหนนี้ได้อย่างน่าประทับใจเช่นเคย ด้วยการเป็นหนึ่งในทีมที่มีแต้มเยอะที่สุดของโซนยุโรป หลังจากผ่านรอบคัดเลือกในฐานะแชมป์กลุ่ม ที่มีทั้งสวีเดน, ไอร์แลนด์, ออสเตรีย, หมู่เกาะแฟโร และคาซัคสถาน เป็นคู่ต่อสู้
เยอรมันยังคงรักษาสถิติดีที่สุดในโลกของการเล่นรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกเอาไว้ได้ หนนี้ 10 เกม ไม่แพ้ใคร ส่งผลให้พวกเขาแพ้เพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น จากทั้งหมด 82 เกม ที่เคยเล่นมาในรอบคัดเลือก แค่ดูสถิติตรงนี้ ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ที่บราซิลกลางปีนี้ ทีมเมืองเบียร์ยังสร้างสถิติในการผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ 12 ครั้ง ตั้งแต่ลงเล่น เวิลด์ คัพ ครั้งแรกเมื่อปี 1934 โดยเคยคว้าแชมป์โลกมาแล้วทั้งในปี 1954, 1974 และ 1990
ความคาดหวังอันหนักหน่วงยังคงถาโถมเข้าใส่ทีมอินทรีเหล็กชุดนี้ ที่น่าจะมีนักเตะดาวรุ่งทะยานขึ้นมาสร้างชื่อได้เยอะที่สุดแล้วในรอบหลายปีหลัง เยอรมันส่งนักเตะชุดที่มีอายุน้อยที่สุดลงเล่นในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ และยังมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นเดิมที่บราซิล ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา นักเตะที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์อย่างเช่น บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม, มิโรสลาฟ โคลเซ่, มานูเอล นอยเออร์, เมซุต โอซิล, โธมัส มุลเลอร์ และ ซามี่ เคดิร่า ถูกผสมผสานอย่างลงตัวด้วยดาวรุ่งทีขึ้นมาใหม่อย่าง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, อิลคาย กุนโดกัน, มาริโอ เกิทเซ่, มาร์โค รอยส์ และ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ เพื่อที่จะทำให้เยอรมันกลับมาแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ปี 1990
ตั้งแต่เสร็จสิ้นภารกิจใน เวิลด์ คัพ 2010 เลิฟก็พยายามนำเอาระบบการเล่นที่คุ้นเคย 4-2-3-1 มาแก้ไขปรับปรุงให้ไฉไลกว่าเดิม ทีมยังคงรักษาสไตล์ในการเล่นเกมรุกที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ โดยมี ชไวน์สไตเกอร์กับเคดิร่าคอยคุมเกมตรงกลางสนาม แล้วให้รอยส์, โอซิล และ มุลเลอร์ เป็นตัวสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่างโคลเซ่
กุนซือ โยอัคคิม เลิฟ
ฟุตบอลโลก 2014 จะเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับชาติหนที่ 4 แล้ว ที่เลิฟคุมทีมอินทรีเหล็กตั้งแต่เข้ามาแทนที่ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ หลังจบ เวิลด์ คัพ 2006 เขาได้ปรุงแต่งให้เยอรมันเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าตื่นเต้นที่สุดทีมหนึ่งของโลก และยังปั้นดาวรุ่งขึ้นมาสร้างชื่อในระดับทีมชาติอีกหลายราย
กัปตัน ฟิลิปป์ ลาห์ม
ฟูลแบ็กร่างเล็กเฉลิมฉลองการลงเล่นนัดที่ 100 ให้กับทีมชาติไปแล้ว ระหว่างการช่วยทีมทำศึกในรอบคัดเลือก และกำลังอยู่ในช่วงที่มีฟอร์มการเล่นที่ดีแบบคงเส้นคงวามากที่สุดในอาชีพของเขาเองด้วย เขาคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ บาเยิร์น มิวนิค คว้า 3 แชมป์ในซีซั่น 2012/13 และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะเยอรมันที่รักษามาตรฐานฟอร์มยอดเยี่ยมได้ดีที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ลาห์ม ยังได้รับการนับถืออย่างล้นหลามจากเพื่อนร่วมทีม และคนอื่นๆ ในวงการฟุตบอล ในเรื่องของความเป็นมืออาชีพ และผลงานในสนามที่ทรงประสิทธิภาพ เขาคือแบ็กขวาตัวหลักของทีมอินทรีเหล็กตลอดการเล่นรอบคัดเลือก และยังสามารถโยกไปเล่นแบ็กซ้าย หรือมิดฟิลด์ได้ยามที่ทีมต้องการ
คีย์แมน เมซุต โอซิล
ตั้งแต่ประเดิมสนามในนามทีมชาติเมื่อปี 2009 โอซิลก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางในทีมเยอรมันเสมอมา เขาเป็นตัวขับเคลื่อนชั้นดีในยุคของ โยอัคเคิม เลิฟ และการเล่นเกมรุกส่วนใหญ่ของทีมอินทรีเหล็กก็มักจะต้องผ่านเขาโดยตรง ด้วยวัยเพียง 25 เพลย์เมกเกอร์จอมเทคนิคทำได้ถึงเลขสองหลักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยิง หรือการป้อนบอลให้เพื่อนทำประตูในทีมชาติ และในระดับสโมสร ก็ไม่มีนักเตะคนไหนจาก 5 ลีกใหญ่ที่มีอัตราการแอสซิสต์เทียบเท่าโอซิลใน 5 ซีซั่นที่ผ่านมา แน่นอนว่าเยอรมันจะต้องพึ่งพาความสามารถอันใหญ่หลวงของเขาใน เวิลด์ คัพ ที่บราซิล
ดาวรุ่ง มาริโอ เกิทเซ่
ว่ากันว่า เกิทเซ่เป็นดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดของเยอรมันแล้ว เมื่อปี 2010 เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยสุด ที่ได้ลงเล่นให้ทีมชาติ เป็นการทำลายสถิติของ อูเว่ ซีเลอร์ ที่ยืนยาวมาตั้งแต่ปี 1954 ในปีถัดมา หลังจากที่เขาได้ลงตัวจริงนัดแรกให้เยอรมัน เขาก็กลายเป็นนักเตะอายุน้อยสุดอันดับ 4 ที่ยิงประตูในทีมชาติได้ และถือเป็นนักเตะอายุน้อยสุด ที่ยิงประตูให้ทีมชาติได้ในรอบเกือบศตวรรษ โยอัคเคิม เลิฟ ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อเขาบ่อยครั้ง ให้ออกสตาร์ตในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า และไม่แน่ในบราซิล 2014 เกิทเซ่อาจจะได้รับบทบาทสำคัญถาวรในทีมก็เป็นได้
- นักเตะ