นักเตะหลัก
คอนสแตนตินอส มิโตรกลู (โอลิมเปียกอส)

ผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
รอบแบ่งกลุ่ม (1994, 2010)

10 ปีหลังจากที่ไปสร้างความฮือฮาลั่นโลก คว้าแชมป์ยูโร 2004 กรีซยังคงใช้แท็กติกเดิมๆ ในการผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เป็นหนที่ 3 ของพวกเขา แฟร์นานโด ซานโตส กุนซือชาวโปรตุกีส เข้ามาสานต่องานที่ อ๊อตโต้ เรห์ฮาเก้ล โค้ชคนเก่า ได้สร้างรากฐานให้กรีซเป็นเจ้าแห่งเกมรับเอาไว้ ได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่จบเวิลด์ คัพ 2010 และยังเสริมสร้างผลการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก

ทัพนักเตะกรีกโชคไม่ดีเล็กน้อยที่ต้องไปเตะเพลย์ออฟ ทั้งที่พวกเขาเก็บได้ถึง 25 จากทั้งหมด 30 คะแนนในการเล่นรอบคัดเลือก กลุ่ม จี แต่ก็ต้องจบด้วยการเป็นรองบอสเนียฯ เพียงแค่ผลต่างลูกได้-เสีย พวกเขามักจะชนะคู่แข่งได้แบบเฉียดฉิว แต่ก็คงเส้นคงวาสุดๆ โดยมีช่วงหนึ่งที่ทีมจากตอนใต้ของยุโรปคว้าสามแต้มที่สกอร์ 1-0 สี่เกมติดต่อกัน และทั้งหมดในรอบคัดเลือก รอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาเสียไปเพียง 4 ประตูเท่านั้น "ทีมเราสร้างประวัติศาสตร์เอาไว้ในยูโร 2004 ด้วยวิธีที่เน้นการเล่นเกมรับ" ซานโตส กล่าว "มันไม่ง่ายเลยนะ ที่จะลบล้างตัวตนนี้ออกไป"

ไม่มีความจำเป็นต้องไปเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้นอยู่แล้ว ชัยชนะเกมเหย้าเหนือโรมาเนีย 3-1 ในรอบเพลย์ออฟ ก็เพียงพอที่จะทำให้กรีซตีตั๋วสู่บราซิลสำเร็จ โดยมีสามประสานอย่าง ดิมิทริออส ซัลปิงกิดิส, คอนสแตนตินอส มิโตรกลู และ จอร์จอส ซามาราส ที่เป็นแกนหลักแห่งแนวรุกในทีมของซานโตส ในแผงมิดฟิลด์ก็ยังมี จอร์จอส คารากูนิส กองกลางวัย 36 กะรัต เป็นตัวบัญชาเกม เหมือนอย่างที่เขาเคยทำได้อย่างสมบูรณ์แบบที่โปรตุเกส 2004 ส่วนผสมต่างๆ ยังคงเหมืนเดิม แต่ผลลัพธ์นี่สิ ที่มันจะเหมือนเดิมได้หรือไม่?

กุนซือ แฟร์นานโด ซานโตส

เทรนเนอร์จอมแท็กติก เคยผ่านงานคุมทีมชั้นนำในโปรตุเกส และกรีซมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเอฟซี ปอร์โต้, สปอร์ติ้ง ลิสบอน หรือเบนฟิก้า โดยเขาเข้ามาแทนที่ อ๊อตโต้ เรห์ฮาเก้ล ไม่นานหลังจากที่ทีมแดนเทพนิยายตกรอบแบ่งกลุ่มที่แอฟริกาใต้ 2010