ครั้งที่ 2 ฟุตบอลโลก 1934 (ที่ประเทศอิตาลี)
หลังจากที่อุรุกวัยประสบความสำเร็จในการรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก เมื่อปี 1930 ท่านผู้นำจอมเผด็จการ เบนิโต มุสโสลินี แห่งอิตาลี จึงแสดงความต้องการที่จะเห็นมหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มาฟาดแข้งกันบนดินแดนมะกะโรนี
ด้วยบารมีของท่านผู้นำที่กดดันไปยังบรรดาคนอิตาเลียนระดับบิ๊กในสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ให้ช่วยผลักดันงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ จนในที่สุดจากการประชุมใหญ่ของฟีฟ่า ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เมื่อปี 1932 อิตาลีก็ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ครั้งที่ 2 ในปี 1934 ด้วยเหตุผลที่ว่าดินแดนมะกะโรนี มีความพร้อมมากกว่าชาติอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกของฟีฟ่าในขณะนั้น
อิตาลี เดินหน้าในการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อรองรับการแข่งขันครั้งนี้อย่างเต็มที่ นอกจากสังเวียนแข้งที่มีอยู่เดิมแล้วก็ยังมีการทุ่มเงินก้อนโตเพื่อสร้างสนามแห่งใหม่อีกด้วย พร้อมทั้งจัดทำของที่ระลึกต่างๆ สำหรับฟุตบอลโลกขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น ภาพโปสเตอร์, แสตมป์ หรือ ของกระจุกกระจิก ซึ่งเรียกร้องความสนใจของแฟนบอลได้เป็นอย่างดี
สำหรับศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ ก็ยังไม่มีทีมจากประเทศในเครือจักรภพอังกฤษเข้าร่วมโม่แข้งอีกเช่นเคย แม้ว่าในขณะนั้น ทีมจากเมืองผู้ดี ยังไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่า แต่เจ้าภาพก็ได้ยื่นข้อเสนอให้ทัพนักเตะสิงโตคำราม ได้สิทธิ์ลงแข่งในรอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องลงเตะในรอบคัดเลือก แต่สุดท้ายความพยายามที่จะสร้างสีสันให้กับฟุตบอลโลกก็ไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อ อังกฤษ ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวอย่างไม่ไยดี
ขณะที่ แชมป์โลก อุรุกวัย ก็ไม่ยอมเสียเหลี่ยมเดินทางไปเหยียบแผ่นดินยุโรปหลังจากที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ จึงทำให้กลายเป็นแชมป์โลกทีมแรกที่ไม่ได้ไปป้องกันแชมป์ ส่วน อาร์เจนตินา และ บราซิล 2 มหาอำนาจลูกหนังจากแดนละติน ต่างก็ไม่ส่งทีมชุดใหญ่ไปร่วมทำศึกครั้งนี้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักเตะสมัครเล่นแทบทั้งทีม
ฟีฟ่าและคณะกรรมการจัดการแข่งขันตัดสินใจที่จะให้ 31 ชาติ รวมทั้ง อิตาลี เจ้าภาพ ลงเตะในรอบคัดเลือก โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 12 กลุ่ม เริ่มดวลแข้งกันตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 1933 เพื่อตัดให้เหลือเพียง 16 ทีมที่จะผ่านเข้าไปแข่งในรอบสุดท้าย
สำหรับเกมรอบคัดเลือก ที่ ขุนพล "ไวกิ้ง" สวีเดน ไล่ถล่ม สมันน้อย เอสโตเนีย 6-2 นับเป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกแมตช์แรกที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินยุโรป และแมตช์ที่ อียิปต์ เปิดบ้านพบกับ ปาเลสไตน์ ที่กรุงไคโร ถือเป็นแมตช์แรกของทวีปแอฟริกา และแมตช์ล้างตาระหว่าง ปาเลสไตน์ - อียิปต์ ก็นับเป็นแมตช์แรกของทวีปเอเชียด้วยเช่นกัน
บรรดาทีมชั้นนำของยุโรปส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรีย, ฮังการี, เชโกสโลวะเกีย และ เยอรมัน ต่างก็ลอยลำเข้าสู่รอบสุดท้ายกันถ้วนหน้า ขณะที่ ยูโกสลาเวีย ที่ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เมื่อ 4 ปีก่อน กลับร่วงตกรอบคัดเลือกไปอย่างหมดรูป
ทัพนักเตะจากเวียนนา ดูจะเป็นทีมที่มีฝีเท้าโดดเด่นกว่าทีมในยุโรปและได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวไปไกลถึงคว้าแชมป์โลกครั้งนี้มาครองได้เลยทีเดียว แต่ทีมที่มีความแข็งแกร่งและมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยมอย่าง เชโกสโลวะเกีย เป็นกระดูกชิ้นโต ส่วน ฮังการี กับเยอรมัน กำลังอยู่ระหว่างการสร้างทีมอย่างเป็นระบบ นักเตะจึงยังขาดประสบการณ์ในการลงเล่นเกมระดับชาติ
สำหรับขุนพลนักเตะอัซซูรี่ มีความได้เปรียบในทุกด้านเพราะอย่างน้อยที่สุดก็ได้เปรียบที่ได้ลงเล่นในบ้านของตัวเองและยังมีบารมีของท่านผู้นำจอมเผด็จการมุสโสลินีคอยหนุนหลังอีก รวมทั้งมีนักเตะฝีเท้าดีหลายคน นำโดย ยอดนายทวาร เจียมเปียโร่ คอมบิ และ 2 ดาวยิงตัวเก่ง จูเซ็ปเป้ เมียซซ่า กับ แองเจโล สเคียวิโอ ภายใต้การคุมทีมของ วิตตอริโอ ปอซโซ่
หลังจากที่ได้ครบทั้ง 16 ทีมแล้ว การแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ก็เริ่มเปิดฉากดวลแข้งกันตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม ที่กรุงโรม, เมืองเจนัว, เนเปิ้ลส์, ตูริน, ฟลอเร้นซ์, โบโลญญ่า, มิลาน และ ตริเอสเต้
เจ้าภาพ อิตาลี ลงประเดิมสนามด้วยฟอร์มอันร้อนแรงบดขยี้นักเตะจากเมืองลุงแซม ไปอย่างยับเยินถึง 7-1 ขณะที่ ทีมชั้นนำจากยุโรปอย่าง ออสเตรีย, ฮังการี, เยอรมัน และ เชโกสโลวะเกีย ก็โชว์ฟอร์มได้ดีตามคาด
สำหรับทีมที่ต้องตกรอบแรกเช่นเดียวกับ สหรัฐฯ และ ฝรั่งเศส ก็มี อียิปต์, เบลเยียม, ฮอลแลนด์, โรมาเนีย รวมทั้ง ทีมดังจากแดนละตินอย่าง บราซิล และ อาร์เจนตินา ซึ่งเต็มไปด้วยนักเตะโนเนมก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านก่อนเช่นกัน ถึงแม้ว่าคณะกรรมการจัดการแข่งขันและสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี จะโหมประชาสัมพันธ์ให้แฟนบอลเข้ามาร่วมชมศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับมากเท่าใดนักทำให้จำนวนผู้ชมในแต่ละแมตช์โหรงเหรงมาก
เข้ามาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขุนพลนักเตะอัซซูรี่ ต้องโคจรมาพบกับ ทีมกระทิงดุ สเปน แต่เจ้าภาพก็สามารถทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ส่วน อีก 3 ทีมที่เหลือ ได้แก่ เชโกสโลวะเกีย ที่เฉือน สวิตเซอร์แลนด์ หวุดหวิด 3-2, ทีม "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน ที่เอาชนะ สวีเดน 2-1 และ สุดท้ายทีมเต็ง ออสเตรีย บดขยี้ ฮังการี 2-1
อิตาลี ต้องโคจรมาพบศึกหนักกับ ขุนพลนักเตะจากเวียนนา ในรอบตัดเชือก ซึ่งถือได้ว่าเป็นนัดชิงชนะเลิศที่แท้จริงของศึกฟุตบอลโลก 1934 เนื่องจาก ออสเตรีย เป็นทีมที่จัดว่ามีสไตล์การเล่นที่สวยงามที่สุดในยุคนั้น ขณะที่ ทีมอัซซูรี่ ก็มีกำลังใจดีเยี่ยมและมีความฮึกเหิมเต็มที่จากการที่ได้ลงเล่นในถิ่นของตนเอง
เพียงแค่นาทีที่ 19 กัวอิต้า ศูนย์หน้าเชื้อสายอาร์เจนไตน์ ก็ทำให้แฟนบอลเจ้าถิ่นกว่า 60,000 คน ในสนาม ซาน ซิโร่ ได้เฮกันลั่น หลังพังประตูให้อิตาลีขึ้นนำไปก่อน 1-0 หลังจากนั้นเจ้าถิ่นก็พยายามสกัดกั้นการบุกของออสเตรียทุกวิถีทางจนเอาชนะไปได้ในที่สุด พร้อมกับทะลุเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
ขณะที่ แมตช์ตัดเชือกอีกคู่เป็นการพบกันระหว่าง เชโกสโลวะเกีย กับ เยอรมัน ที่กรุงโรม ซึ่งนักเตะเช็ก ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและถล่มทีมอินทรีเหล็ก ไปได้อย่างสบายเท้า 3-1 จากนั้นเยอรมัน ก็ไปคว้าอันดับ 3 มาครอง ด้วยการเอาชนะ ออสเตรีย ที่ยังผิดหวังจากการอดเข้าชิงชนะเลิศ ไปได้ 3-2
สำหรับนัดชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่สนาม พีเอ็นเอฟ สเตเดี้ยม ในกรุงโรม มีแฟนบอลเข้าไปเชียร์ถึงขอบสนามประมาณ 55,000 คน ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ นักเตะเช็กลงเล่นโดยไร้ความกดดัน จึงเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกอย่างหนักทำเอากองเชียร์ต้องลุ้นอย่างหนัก โดยเฉพาะ ท่านผู้นำมุสโสลินีถึงกับหน้าเครียดเลยทีเดียว
จนกระทั่งนาทีที่ 17 การบุกหนักก็เป็นผล เมื่อ เชโกสโลวะเกีย ทำประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 แต่หลังจากนั้นเพียง 10 นาที อิตาลีก็ไล่ตามตีเสมอได้สำเร็จ และจบ 90 นาที เสมอกันไป 1-1 จนต้องต่อเวลาพิเศษ
ขุนพลอัซซูรี่ เป็นฝ่ายโหมบุกอย่างหนัก จนกระทั่งนาทีที่ 95 สเคียวิโอ หัวหอกตัวเก่งก็กลายเป็นฮีโร่ซัดประตูชัยให้ อิตาลี เฉือนเอาชนะ เชโกสโลวะเกีย 2-1 พร้อมกับคว้าแชมป์โลกในถิ่นของตนเองได้สำเร็จ ท่ามกลางความสมหวังของคนอิตาเลียนทั้งประเทศ รวมทั้ง ท่านผู้นำมุสโสลินี ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดศึกฟุตบอลโลกบนดินแดนมะกะโรนีครั้งนี้
ไม่ฝืน! ฟีร์มิโนเจ็บถอนทัพแซมบ้าชุดคัดบอลโลก
แนวรุกบราซิเลียนของหงส์แดง ตัดสินใ...
- ปี
- ชนะเสิศ
- รองชนะเสิศ
- อันดับ 3