ครั้งที่ 9 ฟุตบอลโลก 1970 (ที่ประเทศเม็กซิโก)
ฟุตบอลโลก 1970 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 9 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเม็กซิโก ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน ค.ศ. 1970 โดยประเทศเม็กซิโกได้รับเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1964 ถือเป็นการแข่งขันครั้งแรกในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นนอกทวีปอเมริกาใต้และยุโรป ผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้คือทีมชาติบราซิล ชนะทีมชาติอิตาลีไป 4-1 ในรอบตัดสิน
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้ลงมติในปี 1964 ให้ เม็กซิโก ได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมฟุตบอลโลก ปี 1970 ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 9 โดยที่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นก่อนหน้าการแข่งขันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงของแฟนบอล ฮอนดูรัส กับ เอลซัลวาดอร์ สองประเทศ ที่มีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างการแข่งขัน ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม เซ็นทรัล อเมริกา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 3,000 คน รวมทั้งยังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่คร่าชีวิตชาวเปรูไปถึง 50,000 คน
นอกจากนี้ บ๊อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมชาติ อังกฤษ ก็ต้องมาถูกจับกุมที่เมืองโบโกตา ประเทศโคลัมเบีย ระหว่างที่ทัพ "สิงโตคำราม" เดินทางไปลงเตะอุ่นเครื่อง โดย มัวร์ ถูกกล่าวหาว่า ขโมยสร้อยเพชรจากร้านเครื่องประดับในโรงแรมที่พวกเขาพำนักอยู่ และถูกควบคุมตัวอยู่ถึง 4 วัน ก่อนที่ จะถูกปล่อยตัวให้ไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมที่กรุง เม็กซิโก ซิตี้ ในที่สุด
ฟุตบอลโลก 1970 รอบสุดท้าย เปิดฉากขึ้นในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ประกอบกับการที่ต้องลงเล่นในพื้นที่ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเล จึงทำให้บรรดานักเตะชาติต่างๆ ถึงกับลิ้นห้อยไปตามๆ กัน นัดเปิดสนามเป็นการพบกันระหว่างทีมเจ้าภาพ "จังโก้" เม็กซิโก กับทีม "หลังม่านเหล็ก" รัสเซีย ในรอบแรก กลุ่ม 1 ที่ อัซเตก้า สเตเดี้ยม ท่ามกลางแฟนบอล 107,000 คน ปรากฏว่า เกมจบลงด้วยสกอร์ 0-0 ส่วนเกมในกลุ่ม 2 นั้น อุรุกวัย ถลุงสมันน้อย อิสราเอล สบายเกือก 2-0
ที่ ยาลิสโก้ สเตเดี้ยม เมือง กัวดาลาฮาร่า อังกฤษ แชมป์เก่า ต้องลงประเดิมสนามกับ "ผีดิบ" โรมาเนีย ก่อนเกม เซอร์ อัลฟ์ แรมเซย์ กุนซือ"สิงโตคำราม" ได้ประกาศเอาไว้ว่า "เราไม่กลัวทีมไหนทั้งนั้น เรากำลังจะคว้าแชมป์โลก สมัยที่ 2" เกมจบลงด้วยชัยชนะของ อังกฤษ 1-0 จากประตูชัยของ "แฮตทริกฮีโร่" จากรอบชิงฯ ฟุตบอลโลก เมื่อ 4 ปีก่อน เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ในนาทีที่ 65
ขุนพล "เซเลเซา" บราซิล ชุด ฟุตบอลโลก 1970 ถูกยกให้เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้อย่างสวยงามและมีประสิทธิภาพมากที่สุด จนทำให้แฟนบอลต้องหวนระลึกถึง บราซิล ในยุค 1958 ที่สามารถซิวแชมป์โลกมาครองได้เป็นหนแรก เปเล่ และผองเพื่อน อาทิ ทอสเทา, ริเวลิโน่ ,เกอร์สัน ,แซร์จินโญ่ และยอดกัปตันทีม คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ช่วยกันร่ายมนต์แข้งสไตล์แซมบ้าขนานแท้ สะกดให้แฟนบอลทั่วโลกต้องตกตะลึงไปกับลีลาการเล่นอันน่าตื่นตาตื่นใจ โดยพวกเขาคว้าชัยชนะเหนือ เชโกสโลวะเกีย ,โรมาเนีย และ อังกฤษ ก่อนที่จะผ่านเข้าไปพบกับ "ม้ามืด" เปรู ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ปรากฏว่า ทัพ แซมบ้า สอนเชิง เปรู 4-2 ท่ามกลางคอลูกหนัง 54,000 ชีวิตที่เข้ามาเป็นพยานในเกมนัดนี้ ซึ่งถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแมตช์ประจำทัวร์นาเมนต์เลยทีเดียว
ในรอบควอเตอร์ไฟนั่ลเป็นการเจาะเวลาหาอดีตกลับมาพบกันอีกครั้งของคู่ชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1966 อังกฤษ กับ เยอรมัน พลพรรค "สิงโตคำราม" ทะยานออกนำไปก่อนถึง 2-0 และดูเหมือนว่า ชัยชนะกำลังจะตกเป็นของพวกเขาอีกครั้งอยู่แล้ว แต่เมื่อเหลือเวลาการแข่งขันไม่ถึง 20 นาที เซอร์ อัลฟ์ แรมเซย์ ก็ถอด บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ออกไปพัก ซึ่งถือว่า เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เฮลมุท เชิน ซือแป๋ลูกหนังเยอรมันแก้เกมด้วยการส่ง กราโบว์สกี้ ปีกลมกรดลงไปป่วนแผงหลังอังกฤษ แล้วก็ได้ผล "แดร์ ไกเซอร์" ฟร้านซ์ เบ๊คเค่นเบาเออร์ ซัดตีตื้นให้ "อินทรีเหล็ก" ตามมาเป็น 1-2 ก่อนที่ อูเว่ ซีเลอร์ จะโขกประตูตีเสมอ 2-2 และเยอรมันก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ 3-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ จากประตูชัยของ "ไอ้ลูกระเบิด" เกิร์ด มุลเลอร์ ในนาทีที่ 108 โดยในนัดนี้ ปีเตอร์ โบเน็ตติ ได้ลงมาเฝ้าเสาประตูให้อังกฤษ แทน กอร์ดอน แบ๊งค์ส นายทวารมือ 1 ซึ่งป่วย ทำให้บรรดาแฟนบอลเมืองผู้ดีต่างก็คิดว่า ทีมของพวกเขาคงจะไม่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน หากมี แบ๊งค์ส ลงเฝ้าเสาในเกมนี้
เยอรมัน ผ่านเข้าไปเจอกับกระดูกชิ้นโตอย่าง อิตาลี ในรอบรองชนะเลิศ ขุนพล "อัซซูรี่" ใช้แผนตีหัวเข้าบ้านเอาตัวรอดมาจากรอบแรก จากนั้นจึงมาระเบิดฟอร์มอัด เม็กซิโก ไป 4-1 ในรอบควอเตอร์ไฟนั่ล เกมในรอบตัดเชือก อิตาลี ได้ประตูขึ้นนำไปตั้งแต่ช่วงต้นเกมจาก โบนินเซนญ่า ก่อนที่ เยอรมัน จะมาแก้คืนได้ในช่วงนาทีสุดท้ายจาก ชเนลลิงเกอร์ จึงต้องมีการต่อเวลาพิเศษออกไป แล้วทั้งสองทีมก็เปิดฉากยิงกันอย่างถล่มทลาย อิตาลี ซัดเพิ่มได้อีก 3 ประตูจาก ริว่า ,ริเวร่า และ บรู์นิช ส่วน เยอรมัน แก้คืนได้เพียงแค่ 2 ประตูจาก มุลเลอร์ จบเกม อิตาลี ชนะไปอย่างสุดมัน 4-3 ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
ส่วนรอบรองชนะเลิศอีกคู่ที่ สนาม ยาลิสโก้ ปรากฏว่า "แซมบ้า" บราซิล ทีมยอดนิยม ไล่ถล่มแชมป์โลก 2 สมัย อุรุกวัย กระจุย 3-1 ได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ อิตาลี ต่อไป
รอบชิงชนะเลิศ ถูกจัดขึ้นที่สนาม อัซเตก้า สเตเดี้ยม ในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ ในวันที่ 21 มิถุนายน 1970 นัดนี้ เปเล่ ได้ฉายแววความเป็นอัจฉริยะทางลูกหนังออกมาให้แฟนบอลทั่วโลกได้ประจักษ์อีกครั้ง โดยทำประตูให้ บราซิล ทะยานออกนำในช่วงต้นเกมจากลูกโหม่ง ซึ่งเป็นประตูที่ 100 ในฟุตบอลโลกของเขา แต่ อิตาลี ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ กลับมาตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จจาก โบนินเซนญ่า ก่อนหมดครึ่งแรก
ครึ่งหลัง บราซิล โชว์ความเหนือชั้นไล่กระหน่ำ 3 ประตูรวด เริ่มจากประตูสุดยอดของ เกอร์สัน ในนาทีที่ 65 ก่อนที่ เปเล่ จะมาใส่พานให้เพื่อนร่วมทีมซัดเพิ่มอีก 2 ประตู ลูกแรกเป็นของ แซร์จินโญ่ จากนั้น "ไข่มุกดำ" ก็ไหลบอลให้กัปตันทีม คาลอส อัลแบร์โต้ ซัดประตูสุดสวยในช่วงท้ายเกม สิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลา บราซิล ถล่ม อิตาลี ไปอย่างง่ายดาย 4-1 ผงาดขึ้นครองแชมป์โลกสมัยที่ 3 เป็นทีมแรกของโลก พร้อมกับคว้าถ้วย จูลส์ ริเม่ต์ ไปเป็นกรรมสิทธิ์ แต่น่าเศร้าที่ต่อมาถ้วยดังกล่าวกลับถูกขโมยไปจากตู้โชว์ในนคร ริโอ เดอ จาเนโร และหายสาบสูญไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ไม่ฝืน! ฟีร์มิโนเจ็บถอนทัพแซมบ้าชุดคัดบอลโลก
แนวรุกบราซิเลียนของหงส์แดง ตัดสินใ...
- ปี
- ชนะเสิศ
- รองชนะเสิศ
- อันดับ 3