ครั้งที่ 7 ฟุตบอลโลก 1962 (ที่ประเทศชิลี)
ฟุตบอลโลก 1962 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 ที่จัดขึ้นที่ประเทศชิลี ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม ถึง 17 มิถุนายน ค.ศ. 1962 โดยประเทศชิลีได้รับเลือกเป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1956 เป็นการแข่งฟุตบอลโลกที่กลับมาจัดที่ทวีปอเมริกาใต้หลังจาก 12 ปีก่อน ผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้คือทีมชาติบราซิล ที่ชนะทีมชาติเชโกสโลวะเกีย 3-1 ในรอบตัดสิน
เมื่อปี ค.ศ.1962 หากเอ่ยถึงชิลี แทบทุกคนคงรู้จักกันว่าเป็นเพียงดินแดนในทวีปอเมริกาใต้เท่านั้น แต่ทันทีที่ คาร์ลอส ดิ๊ตต์บอร์น ประธานสหพันธ์ฟุตบอลชิลี สามารถนำฟุตบอลโลกครั้งที่ 7 มาจัดขึ้นในประเทศแห่งแดนละตินได้สำเร็จ ก็ทำให้คนทั่วโลกเริ่มหันมาจับตามองพวกเขากันมากขึ้น
ทันทีที่ ชิลี ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพเวิลด์ คัพ 1962 นั้นพวกเขาก็เริ่มปรับปรุงสนามแห่งชาติในกรุงซานติอาโก ให้มีความจุจาก 45,000 คนเป็น 77,000 คนอย่างรวดเร็ว รวมทั้งก่อสร้างสนามใหม่ขึ้นที่ วิน่า เดล มาร์ และอาริก้า แต่กว่าที่จะสำเร็จลุล่วงก็เล่นเอาเจ้าภาพแทบทรุดเหมือนกันเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างแย่ แถมยังต้องผจญกับปัญหาภัยธรรมชาติในเวลานั้นอีกด้วย
บรรดา 16 ทีมที่ผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายนั้น "แซมบ้า" บราซิล แชมป์เก่าเวิลด์ คัพ 1958 ยังคงโดดเด่นเหนือชาติอื่น แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวเทรนเนอร์จาก บิเซนเต้ ฟีโอล่า มาเป็น ไอโมเร่ โมเรร่า ก็ไม่กระทบกระเทือนอะไรเพราะเหล่าขุนพลนามกระเดื่องอย่าง กิลมาร์, ดัลม่า ซานโต๊ส, นิลตัน ซานโต๊ส, ดีดี้, วาว่า, ซากาโล่, การ์รินช่า และ "ไข่มุกดำ" เปเล่ ต่างยังอยู่กันพร้อมหน้า
สำหรับทีมอื่นๆ เช่น "สิงโตคำราม" อังกฤษ, เยอรมันตะวันตก, รัสเซีย, อิตาลี, ยูโกสลาเวีย หรือ เชโกสโลวะเกีย นั้นไม่อาจพูดได้ว่า กร้าวแกร่งสุดขีด เพราะส่วนใหญ่กำลังอยู่ในช่วงสร้างทีมใหม่ ขณะที่ทีมอย่าง อุรุกวัย, โคลัมเบีย, สวิตเซอร์แลนด์, สเปน, เม็กซิโก, ฮังการี, อาร์เจนตินา, บัลแกเรีย รวมทั้งเจ้าภาพชิลี ต่างก็ถูกมองว่าไม่น่าที่จะแผลงฤทธิ์เดชอะไรได้มากนัก
หลังจากพิธีเปิดการแข่งขันที่สนามเอสตาดิโอ นาซิอองนาล ซึ่งมีประธานาธิบดีชิลีและ เซอร์ สแตนลี่ย์ เร้าส์ โต้โผใหญ่ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เป็นประธาน ก็เริ่มประเดิมแมตช์แรกระหว่าง ชิลี กับ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผลปรากฏว่า "เจ้าภาพ" ถล่มทีมจากเมืองนาฬิกาเสียอยู่หมัด 3-1 ด้วยฟอร์มการเล่นที่เยี่ยมจนน่าประหลาดใจ
ส่วนคู่ที่เรียกร้องความสนใจจากแฟนบอลมากที่สุดหนีไม่พ้น 2 อดีตแชมป์โลก อิตาลี ที่แน่นเอี้ยดไปด้วยนักเตะพลังหนุ่ม กับ เยอรมันตะวันตก ซึ่งยังคงอยู่ในการคอนโทรลของปรมาจารย์ เซปป์ แฮร์เบอร์เกอร์ และมีผู้เล่นสำคัญอย่าง อูเว่ เซเลอร์, ฮันส์ เชเฟอร์ รวมไปถึง คาร์ลไฮนซ์ ชเนลลิงเกอร์ ทว่าเมื่อทั้งคู่โคจรมาพบกันจริงๆ กลับเป็นเกมที่ไม่เอาไหนและไร้รสชาติจบลงด้วยสกอร์ 0-0 ก่อนที่นัดต่อมา "อัซซูรี่" จะปราชัยต่อ "เจ้าภาพ" 0-2 ส่งผลให้ต้องตกรอบแรก แม้ว่าในนัดสุดท้ายจะขยี้ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 ก็ตาม
สำหรับ บราซิล พวกเขาเปิดฉากอย่างสวยหรูด้วยการอัด เม็กซิโก ไปเบาะๆ 2-0 ก่อนจะเสมอ เชโกสโลวะเกีย 0-0 และปิดท้ายถล่มสเปน ซึ่งไปลากเอา เฟเรนซ์ ปุสกัส อดีตดาวดังฮังการี มาแปลงสัญชาติส่งลงเล่นอย่างยับเยิน อย่างไรก็ตาม "แซมบ้า" ต้องเสีย เปเล่ ไปตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ เนื่องจากเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาอย่างรุนแรงในแมตช์เสมอนักเตะเช็ก
"แซมบ้า" ฟอร์มยังฮอตไม่หยุดแม้ว่าจะไร้ "ไข่มุกดำ" ไปก็ตาม โดยในรอบ 8 ทีมสุดท้ายขยี้นักเตะ "สิงโตคำราม" เสียสิ้นซาก 3-1 ที่วิน่า เดล มาร์ จากความเยี่ยมยอดของ "เจ้านกน้อย" การ์รินช่า ก่อนจะผ่านเข้าไปในรอบรองชนะเลิศที่มี ชิลี, ยูโกสลาเวีย และ เชโกสโลวะเกีย รออยู่แล้ว
นัดตัดเชือก คู่แรก บราซิล ถลุง ชิลี ยับเยิน 4-2 โดยเกมนี้ยังเป็น "เจ้านกน้อย" ที่ระเบิดแข้งได้สุดยอดกระทุ้งไปคนเดียว 2 ประตูก่อนที่ วาว่า จะโซ้ยอีก 2 ลูก ส่วนอีกคู่นั้น เชโกสโลวะเกีย โซโล่ ยูโกสลาเวีย 3-1 ผ่านเข้าไปชิงฯ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยทำมาได้แล้วเมื่อปี 1934 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี
แมตช์ชิงชนะเลิศ เจ้าโลกลูกหนังครั้งที่ 7 เต็มไปด้วยแฟนบอลชิลีถึง 68,000 คนที่แห่แหนไปให้กำลังใจ บราซิล เพราะต่างหวังว่า ถ้วยจูลส์ ริเม่ต์ จะต้องสิงสถิตย์อยู่ในแผ่นดินอเมริกาใต้ต่อไปอีก 4 ปีและทีม "แซมบ้า" ก็ไม่ทำให้กองเชียร์ผิดหวังเมื่อโชว์เพลงแข้งอัด เชโกสโลวะเกีย เสียราบคาบ 3-1
ในเกมนี้ ขุนพลเช็ก พลิกขึ้นนำ "แซมบ้า" ไปก่อน 1-0 อย่างเหลือเชื่อจากลูกยิงของ โจเซฟ มาโซปุสต์ ในช่วงต้นเกม แต่บราซิล ก็ไล่ตีเสมออย่างทันควันในนาทีที่ 18 จากฝีเท้าของ อมาริลโด้ ซึ่งได้ลงเล่นเป็นตัวแทนของ เปเล่ ก่อนที่ ซิโต้ จะมายิงให้ทีมขึ้นนำ 2-1 ในครึ่งหลัง จากนั้น วาว่า ก็มาซัดประตูตอกฝาโลง
บราซิล ครอบครองถ้วย จูลส์ ริเม่ต์ เอาไว้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี พวกเขากลายเป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ต่อจากอิตาลี ที่ยึดตำแหน่งแชมป์โลกไว้ได้ 2 สมัยติดต่อกัน นอกจากนั้นชัยชนะในครั้งนี้ยังเป็นการประกาศศักดาให้โลกรับรู้อีกว่า มีเพียงทีม "แซมบ้า" เท่านั้นที่หาญกล้าบุกไปซิวแชมป์ในดินแดนยุโรปได้สำเร็จ แต่เรื่องที่จะให้พวกยูโรเปี้ยนบุกมากำแหงแย่งแชมป์โลกในแผ่นดินอเมริกาใต้บ้างน่ะรึ ไม่มีทาง !
ไม่ฝืน! ฟีร์มิโนเจ็บถอนทัพแซมบ้าชุดคัดบอลโลก
แนวรุกบราซิเลียนของหงส์แดง ตัดสินใ...
- ปี
- ชนะเสิศ
- รองชนะเสิศ
- อันดับ 3