ครั้งที่ 14 ฟุตบอลโลก 1990 (ที่ประเทศอิตาลี)
ฟุตบอลโลก 1990 เป็นฟุตบอลโลกครั้งที่ 14 จัดขึ้นที่ประเทศอิตาลีตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน ถึง 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 โดยฟีฟ่าได้เลือกอิตาลีเป็นเจ้าภาพในการจัดครั้งนี้เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ถือเป็นประเทศที่ 2 ที่จัดฟุตบอลโลก 2 ครั้ง โดยสหภาพโซเวียต เป็นคู่แข่งในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ในการแข่งขันครั้งนี้เยอรมนีตะวันตกเป็นผู้ชนะการแข่งขัน ชนะทีมอาร์เจนตินาไป 1-0 ในรอบสุดท้าย ทำให้ครองตำแหน่งผู้ชนะเป็นครั้งที่ 3
ศึกฟุตบอลโลก อิตาเลีย 1990 เป็นการกลับมาป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกของเหล่าขุนพล" ฟ้า-ขาว" อาร์เจนตินา ภายใต้กุนซือคนเก่า คาร์ลอส บิลาร์โด้ และ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า แต่พวกเขากลับช็อกโลกลูกหนังตั้งแต่เกมนัดเปิดสนาม เมื่อเจอทีเด็ดของทีม "หมอผี" แคเมอรูนและเป็นฝ่ายแพ้ 0-1 จากลูกโขกของ ฟรังซัวส์ โอมัม บียิค ในนาทีที่ 65
จากนั้นไฮไลต์ของกลุ่มบี ก็คือการโชว์ลีลาของยอดทีมจากกาฬทวีป เมื่อพวกเขาเดินหน้าเฉือน "ผีดิบ" โรมาเนีย อีก 2-1 และแม้จะโดน รัสเซีย ต้อนยับ 0-4 ในนัดสุดท้าย แต่ก็ยังเข้ารอบด้วยการเป็นทีมอันดับ 1 ของกลุ่มอย่างสง่าผ่าเผย ปล่อยให้ 2 ตัวเต็งอย่าง โรมาเนีย และ อาร์เจนตินา แย่งกันเข้ารอบ และเป็นพลพรรค "ผีดิบ" ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ส่วนแชมป์เก่า "ฟ้า-ขาว" มาในฐานะ อันดับ 3 ที่ดีที่สุด 1ใน 4 ทีม
ด้านสถานการณ์ของ "เจ้าภาพ" อิตาลี ในกลุ่มเอ ก็เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อขุนพล "อัซซูรี่" เดินหน้าเก็บชัย 3 นัดรวด พร้อมกับการแจ้งเกิดของ ซัลวาตอเร่ "โตโต้" สคิลลาชี่ เริ่มตั้งแต่เฉือน ออสเตรีย 1-0, เอาชนะ สหรัฐอเมริกา 1-0 และปิดท้ายด้วยการต้อน เชโกสโลวะเกีย 2-0 เข้ารอบเป็นอันดับ 1 โดยไม่เสียสักประตูเดียว ส่วนอันดับ 2 เป็นของ เชโกสโลวะเกีย ที่เก็บชัย 2 นัดแรกอย่างไม่มีปัญหา ด้วยการถล่ม อเมริกา 5-1, ชนะ ออสเตรีย 1-0 ก่อนจะแพ้ อิตาลี ในนัดสุดท้าย
ส่วนกลุ่มซี ซึ่งมีตัวเต็งอย่าง "แชมป์โลก 3 สมัย" บราซิล เป็นตัวชูโรง กลับมีเรื่องพลิกล็อกเกิดขึ้น เมื่อ คอสตาริกา ซึ่งผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สร้างปรากฏการณ์แหกด่านผ่านเข้ารอบ 2 อย่างเหลือเชื่อ เมื่อเริ่มต้นด้วยการชนะ สกอตแลนด์ 1-0 และแม้จะแพ้ต่อ บราซิล 0-1 พวกเขาก็ยังเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 2 เมื่อสอย สวีเดน 2-1 ส่งขุนพล "ไวกิ้ง" ร่วงตกรอบแรกพร้อมสถิติแพ้รวด 3 นัด !!! ส่วน บราซิล ชนะ 3 นัดรวด เข้ารอบ 2 ด้วยการเป็นอันดับ 1 ตามฟอร์ม
ตามมาดูเหตุการณ์ในกลุ่มดีกันบ้าง เยอรมัน "รองแชมป์เก่า" กลับมาด้วยฟอร์มที่สุดร้อนแรง โลธ่าร์ มัทเธอุส พาลูกทีมเริ่มต้นด้วยการถล่ม ยูโกสลาเวีย กระจุย 4-1 ก่อนจะบอมบ์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หนักขึ้นไปอีก 5-1 และปิดท้ายด้วยการเสมอกับทีมมาแรงอย่าง โคลัมเบีย 1-1 เป็นอันดับ 1 แบบหายห่วงด้วยผลงานซัด 10 เสีย 3 ประตู โดยมี ยูโกสลาเวีย ที่เก็บชัย 2 นัดหลัง ตามมาเป็นอันดับ 2 ส่วน โคลัมเบีย โชคดี เมื่อผลงาน ชนะ 1 เสมอ 1 และ แพ้ 1 นัด ยังดีพอที่จะทำให้เป็นทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดเช่นกัน ทิ้งให้ฟุตบอลโลกสมัยแรกของ ยูเออี จบลงด้วยการแพ้ 3 นัด โดนไป 11 ประตู
ทีม "กระทิงดุ" สเปน กลับมาพร้อมความปรารถนาที่จะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง และแม้จะเริ่มต้นไม่สวยเมื่อทำได้เพียงเสมอกับ อุรุกวัย 0-0 แต่ฟอร์มของ มิเชล กอนซาเลส ก็พาทีมฉลุยเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอี อย่างไม่มีปัญหา เมื่อซัดแฮตทริกในเกมต้อน เกาหลีใต้ 3-1 ก่อนยิงอีก 1 ประตูในเกมเฉือน เบลเยียม 2-1 ส่วนอันดับ 2 เป็นของ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ขณะที่ อุรุกวัย ได้ประตูชัยในช่วงทดเวลาเจ็บของ ดาเนี่ยล ฟอนเซก้า ในเกมชนะ เกาหลีใต้ 1-0 ส่งให้ทีมผ่านเข้ารอบ 2 ด้วยการเป็นทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 1 ทีม
ปิดท้ายรอบแรกด้วยเกมในกลุ่มเอฟ ซึ่งมี อังกฤษ, ฮอลแลนด์ และ ไอร์แลนด์ อยู่ร่วมสายเดียวกัน ก่อนเกมจะหนืดด้วยกันทั้ง 3 ทีม โดยขุนพล "สิงโตคำราม" เข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 1 ด้วยผลงานเสมอกับ ฮอลแลนด์ และ ไอร์แลนด์ ก่อนเก็บชัยนัดสุดท้ายจาก อียิปต์ 1-0 ด้วยประตูโทนของ เอียน ไรท์ ขณะที่ ไอร์แลนด์ และ ฮอลแลนด์ ตามมาเป็นอันดับ 2 และ 3 แม้ท้ายที่สุดจะทำได้เพียงเสมอทั้ง 3 นัดก็ตาม !!!
เกมในรอบ 2 เริ่มด้วยการช็อกวงการลูกหนังอีกครั้งของเหล่าขุนพลแคเมอรูน ที่ต่อเวลาพิเศษเอาชนะ โคลัมเบีย อย่างยอดเยี่ยม 2-1 พร้อมกับการแจ้งเกิดของกองหน้าเสือเฒ่าที่ชื่อ โรเจอร์ มิลล่า ที่เหมาคนเดียว 2 ประตูในนัดนี้ ในวันเดียวกัน เชโกสโลวะเกีย จัดการยำใหญ่ทีม "กล้วยหอม" คอสตาริกา แบบหาทางกลับบ้านไม่ถูก 4-1 โดย 3 ประตูมาจาก โทมัส สคูห์ราวี่ หัวหอกจอมโขก ปิดฉากฝันของตัวแทนจากคอนคาเคฟลงเพียงเท่านี้
จากนั้นเป็นศึก "บิ๊กแมตช์" ที่หลายคนอาจจะคิดว่ามันเร็วเกินไปที่ทั้ง 2 ทีมต้องมาพบกัน เมื่อ อาร์เจนตินา เปิดศึกสายเลือดกับ บราซิล ที่ เดลเล่ อัลปิ ก่อนจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างขมขื่นของแข้ง "แซมบ้า" ที่เดินเกมบุกตลอดเกม แต่กลับโดนทีเด็ดของ เคลาดิโอ คานิกเกีย ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ตกรอบอย่างเจ็บปวด ขณะเดียวกันทีม "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน ยังเดินหน้าด้วยฟอร์มแรงไม่มีหมด เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ และ อันเดรียส์ เบรห์เม่ ซัดคนละประตูให้ทีมเฉือนชนะ ฮอลแลนด์ ของ 3 ทหารเสือ มาร์โก แวน บาสเท่น, รุด กุลลิท และ แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด 2-1 ฉลุยผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
ที่ เจนัว เป็นศึกเครียดของ "ยักษ์เขียว" ไอร์แลนด์ กับ "ผีดิบ" โรมาเนีย ที่ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ หลังเจาะตาข่ายกันไม่ได้ตลอดเกม 120 นาที ก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของนักเตะไอริช ที่มาภายใต้การนำทัพของ แจ๊คกี้ ชาร์ลตัน ส่วนเกมที่ โอลิมปิโก้ "เจ้าภาพ" เปิดสนามเชือดนิ่ม "จอมโหด" อุรุกวัย สบายๆ 2-0 โดย สคิลลาชี่ ซัดได้อีก 1 ประตู เดินหน้าล่ารางวัลดาวซัลโวฟุตบอลโลกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขุนพลแข้งกระทิงก็ยังพิสูจน์ตัวเองไม่ได้อีกครั้ง เมื่อจอดป้ายแค่รอบ 2 หลังผ่านเกมสุดระทึก ก่อนโดนยอดทีมเทคนิคจากยุโรปตะวันออกอย่าง ยูโกสลาเวีย สอยดิ้น 2-1 ดราแกน สตอยโควิช สร้างชื่อให้ตัวเอง เมื่อซัดให้แข้งสลาฟขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 77 แต่ ฆูลิโอ ซาลินาส ก็ตามตีเสมอให้ สเปน ได้ในนาทีที่ 83 ก่อน สตอยโควิช จะดับฝันชาวกระทิงด้วยประตูชัย 2-1 ในช่วงทดเวลาเจ็บ 2 นาที !!!
แต่ความคลาสสิกทั้งหมดกลับมาตกอยู่ในเกมนัดสุดท้าย ซึ่งเป็นการดวลแข้งระหว่าง อังกฤษ กับ เบลเยียม เกมดำเนินอย่างสูสีและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทำให้สกอร์ยัง 0-0 เมื่อเกม 90 นาทีจบลง จากนั้นเกมก็ทำท่าว่าจะต้องตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ แต่ด้วยประตูมหัศจรรย์ ในนาทีที่ 119 ของ เดวิด แพล็ท ที่ลงมาแทน สตีฟ แม็คมาน ก็ส่งให้แข้งจากเมืองผู้ดีผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จจนได้
ผ่านมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย "แชมป์เก่า" อาร์เจนตินา ที่ร่อแร่มาตั้งแต่รอบแรก ยังเดินหน้าผ่านเข้ารอบตัดเชือกต่อไป แม้ฟอร์มจะยังกระท่อนกระแท่นก็ตาม หลังโชว์ความแม่นยำของฝีเกือก ดวลจุดโทษเขี่ย ยูโกสลาเวีย ร่วงตกรอบ 3-2 ในเกมที่จบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ตลอด 120 นาที ขณะที่ในคู่ของ อิตาลี กับ ไอร์แลนด์ ต้องขอบคุณประตูชัยในนาทีที่ 37 ของ สคิลลาชี่ เจ้าเก่า ที่ส่งให้ "เจ้าภาพ" และอดีตแชมป์โลก 3 สมัย ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จเช่นกัน
ส่วน "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน ของ ฟร้านซ์ เบ๊คเค่นเบาเออร์ ที่คราวนี้หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ให้ได้ เริ่มมีดวงมาช่วย เมื่อได้ลูกจุดโทษในครึ่งแรกของ "ซูเปอร์แมน" มัทเธอุส พาทีมเฉือนทีมฟอร์มร้อนอย่าง ยูโกสลาเวีย แบบหืดขึ้นคอ 1-0 อย่างไรก็ตาม เกมของขุนพลแข้ง "สิงโตคำราม" ยังคงเป็นไฮไลต์ของทัวร์นาเมนต์ได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคราวนี้คู่แข่งจะเป็นทีมชื่อชั้นอ่อนกว่าอย่าง แคเมอรูน ก็ตาม
เกมทำท่าว่าจะเป็นไปตามคาดเมื่อ เดวิด แพล็ท ซัดให้ อังกฤษ นำไปก่อนในนาทีที่ 25 แต่ทีม "หมอผี" มาแรงแซงโค้งซัด 2 ประตูรวดในช่วงเวลาเพียงแค่ 3 นาที คือนาทีที่ 62 และ 65 พลิกกลับเป็นฝ่ายขึ้นนำหน้าตาเฉย ก่อนที่ แกรี่ ลินิเกอร์ จะสวมบทฮีโร่ซัดจุดโทษให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 82 ส่งผลให้เกม 90 นาทีจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 ต้องดวลกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ และเป็น ลินิเกอร์ คนเดิมที่ซัดจุดโทษให้ อังกฤษ เฉือนหืด 3-2 ผ่านเข้าตัดเชือกท่ามกลางการลุ้นระทึกสุดขีด
รอบตัดเชือกถือเป็น 4 ทีมยักษ์ใหญ่ล้วนๆ ที่ผ่านเข้ามาได้ โดย "แชมป์เก่า" อาร์เจนตินา จะหักด่านกับ "เจ้าภาพ" อิตาลี ขณะที่อีกคู่เป็นศึกคู่รักคู่แค้นระหว่าง "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน กับ "สิงโตคำราม" อังกฤษ ก่อนเกมจะจบลงด้วยการดวลจุดโทษทั้ง 2 คู่ และเป็น อิตาลี กับ อังกฤษ ที่เป็นฝ่ายผิดหวัง นั่นหมายความว่าเกมนัดชิงชนะเลิศ อิตาเลีย 1990 จะเป็นคู่ชิงคู่เดิมที่อัดกันมาอย่างดุเดือดเมื่อปี 1986 ... อาร์เจนตินา กับ เยอรมัน
ซัลวาตอเร่ สคิลลาชี่ ซัดประตูที่ 5 ให้ อิตาลี ขึ้นนำ อาร์เจนตินา ในนาทีที่ 17 ก่อนจะเป็น คานิกเกีย ที่รับบทฮีโร่ให้ทีม "ฟ้า-ขาว" อีกครั้ง ด้วยการสังหารประตูตีเสมอในนาทีที่ 67 ทำให้เกมต้องมาตัดสินด้วยลูกจุดโทษ และเป็น "แชมป์เก่า" ที่เขี่ยเจ้าภาพด้วยสกอร์ 5-4 หลังชนะจุดโทษ 4-3 เช่นเดียวกับความพ่ายแพ้ของ อังกฤษ เมื่อ ลินิเกอร์ อุตส่าห์ตีเสมอให้ทีมได้ในนาทีที่ 80 แต่ไม่วายดวลเป้าพ่ายอย่างเจ็บช้ำเช่นเดียวกับเจ้าภาพ แถมลูกทีมของ บ๊อบบี้ ร็อบสัน ยังต้องช้ำซ้ำสอง เมื่อแพ้ในการชิงที่ 3 แก่ อิตาลี 1-2 โดยที่ "โตโต้" สคิลลาชี่ ซัดได้อีก 1 ประตู ปิดฉากฟุตบอลโลกของ ตัวเอง ด้วยผลงาน 6 ประตู คว้ารองเท้าทองคำไปครองอย่างยิ่งใหญ่
รอบชิงชนะเลิศเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งของ อาร์เจนตินา กับ เยอรมัน แต่เกมที่คาดว่าจะสนุก เนื่องจากมีเบื้องหลังจากศึกฟุตบอลโลก ครั้งที่ผ่านมา กลับกลายเป็นเกมที่เล่นแบบเน้นแท็กติก ต่างฝ่ายต่างกลัวแพ้ เกมดำเนินไปด้วยความตึงเครียด ก่อนจะเป็น อาร์เจนตินา ที่พลาดท่า เสียลูกจุดโทษในนาที่ 85 และ อันเดรียส์ เบรห์เม่ ยอดแบ๊กซ้ายในยุคนั้น รับหน้าที่สังหารผ่านมือ กอยโคเชีย เข้าไปอย่างยอดเยี่ยม พาทีม "อินทรีเหล็ก" คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ท่ามกลางน้ำตาของผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า แต่เป็นความสำเร็จของ "ไกเซอร์ลูกหนัง" เบ๊คเค่นเบาเออร์ เมื่อเขากลายเป็นคนที่ 2 ที่สามารถซิวแชมป์โลกมาครองได้ทั้งสมัยเป็นผู้เล่นและโค้ช
ไม่ฝืน! ฟีร์มิโนเจ็บถอนทัพแซมบ้าชุดคัดบอลโลก
แนวรุกบราซิเลียนของหงส์แดง ตัดสินใ...
- ปี
- ชนะเสิศ
- รองชนะเสิศ
- อันดับ 3