ครั้งที่ 4 ฟุตบอลโลก 1950 (ที่ประเทศบราซิล)
ศึกฟุตบอลโลก กลับมาจัดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ต้องหยุดพักยาวถึง 12 ปี เพราะภัยพิบัติจากมหาสงครามโลก ครั้งที่ 2 และเป็นบราซิล ที่เสนอตัวมารับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพได้อย่างเหมาะเจาะที่สุด เนื่องจาก บรรดาชาติต่างๆ ในยุโรป ซึ่งพอจะมีความสามารถจัดงานระดับนี้ได้ ต่างก็บอบช้ำจากพิษภัยของสงครามแทบทั้งสิ้น
ในที่สุด บราซิล ก็ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพไปตามความคาดหมาย แต่กลับมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการแข่งขันจนได้ ต้องเดือดร้อนถึง จูลส์ ริเม่ต์ ผู้ให้กำเนิดมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ชนิดนี้ ต้องยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยเอง ก่อนที่ในที่สุดจะตกลงกันได้ว่า 16 ทีมสุดท้าย จะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม โดยมีตัวยืนเอาไว้ 1 ทีมในแต่ละกลุ่ม ส่วน อีกสามทีมที่เหลือ ใช้วิธีจับสลาก
จากการแบ่งกลุ่มในรอบแรก อุรุกวัย อดีตแชมป์ฟุตบอลโลก หนแรก นับว่าโชคดีที่สุด มีเพียงโบลิเวีย ซึ่งถูกจัดเป็นทีมตัวประกอบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นที่เป็นคู่ต่อสู้ เพียงทีมเดียวเท่านั้น ดังนั้นทีมจอมโหดจึงโชว์ฟอร์มไล่ถลุงสมันน้อยเพื่อนร่วมทวีปทีมนี้ไปไม่เลี้ยงถึง 8-0 ลอยลำเข้ารอบต่อ ไปอย่างสบายเฉิบ
ขณะที่ "สิงโตคำราม" อังกฤษ จัดเป็นทีมที่น่าจับตาไม่น้อยไปกว่าบราซิลชาติเจ้าภาพเลย เพราะลูกทีมของ วอลเตอร์ วินเตอร์บ็อทท่อม กุนซือทีมชาติในเวลานั้น อัดแน่นไปด้วยดาวเตะชื่อก้องอย่าง สแตนลี่ย์ แม็ทธิวส์, อัลฟ์ แรมเซ่ย์, ทอม ฟินนี่ย์, บิลลี่ ไรท์ แต่เอาเข้าจริงแข้งจากเมือง ผู้ดีกลับแผลงฤิทธิ์ไม่ออก ชนะชิลีได้แค่ทีมเดียว นัดที่เหลือแพ้รวด รวมถึงแพ้แม้กระทั่งทีมอ่อนหัดอย่างสหรัฐฯ 0-1 ซึ่งถือเป็นกความพ่ายแพ้ที่พลิกล็อกที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกเลยทีเดียว ก่อนที่ทีมสิงโตคำรามจะกระเด็นตกรอบแรกไปอย่างน่าอับอายยิ่ง
ด้าน ทีมแซมบ้า เจ้าภาพ ที่มีนักเตะระดับพระกาฬอัดแน่นจนล้นทีมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ซิซินโญ่, ฟริอาซ่า , ชิโก้ และอเดเมียร์ ประกอบกับมี ฟลาวิโอ คอสต้า กุนซือหนวดดกนั่งกำกับเกมอยู่ที่ข้างสนามด้วยแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าภาพ จะเดินหน้าเต็มพิกัด อัดยูโกสลาเวีย พังพาบ 2-0 เสมอกับ สวิตเซอร์แลนด์ 2-2 และถลุง เม็กซิโกกระจาย 4-0 ฉลุยเข้ารอบต่อไปในฐานะเต็งจ๋าเลยทีเดียว
ในรอบ 4 ทีมสุดท้าย นอกจาก บราซิล และ อุรุกวัย 2 มหาอำนาจลูกหนังโลกในเวลานั้นจากทวีปอเมริกาใต้ แล้ว ยังมี 2 ทีมชั้นดีจากยุโรป อย่าง สวีเดน และสเปน หลุดเข้ามาเล่นในรอบนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ นักเตะไวกิ้งนั้นในรอบแรก ระเบิดฟอร์ม พิชิต อิตาลี แชมป์เก่าเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ไปอย่างสบายๆ 2-0 แต่ชัยชนะนัดนั้นกลับไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร เพราะอดีตแชมป์โลกสองสมัยเพิ่งเสียขุนพลตัวเก่งของทีมไปถึง 8 คน เนื่องจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทำให้ฟอร์มการเล่นยวบยาบลงไปกว่าครึ่ง
บราซิล ประเดิมรอบรองชนะเลิศ ได้อย่างสมราคาเต็ง 1 ทุกประการ ด้วยการ ไล่ต้อน ทีมสวีเดน กระจุยกระจาย 7-1 ก่อนที่จะขยี้ทีมสเปนได้อีก 6-1 ขณะที่ทีมอุรุกวัย เริ่มต้นได้อย่างกระท่อนกระแท่นหวุดหวิดจะแพ้ สเปน ตั้งแต่แมตช์แรกด้วยซ้ำกว่าที่ วาเรล่า กัปตันทีมจะยิงประตูตามตีเสมอเป็น 2-2 ได้สำเร็จก็ปาเข้าไปนาทีที่ 73 แล้ว อย่างไรก็ตามในการเล่นนัดถัดมากับสวีเดน ทีมจอมโหดยังอาศัยความสามารถเฉพาะตัวอันยอดเยี่ยมและความเก๋าเกมเฉือนเอาชนะสวีเดนหวุดหวิด 3-2 โคจรไปพบกับบราซิล ในแมตช์ชี้ชะตาตัดสินแชมป์โลกได้อย่างทุลักทุเล
แฟนบอลชาวเมืองกาแฟอัดแน่นเข้าสนามมาราคาน่า สังเวียนในนัดชิงชนะเลิศเกือบ 2 แสนคน ทุกคนหวังจะมาฉลองตำแหน่งแชมป์โลกครั้งแรกของประเทศกันอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับรัฐบาลบราซิลในยุคนั้น เตรียมที่จะประกาศหยุดงานในวันรุ่งขึ้น เพื่อฉลองแชมป์กันให้เต็มคราบเลยทีเดียว เพราะในเวลานั้นไม่มีใครเชื่อว่า ทีมอุรุกวัย จะมีปัญญาต้านทีมเต็งจ๋าอย่างบราซิลได้หรอก
แต่พอเอาเข้าจริงๆ อุรุกวัยกลับทำได้ดีเกินคาดเมื่อเป็นฝ่ายต้านทานเกมรุกของทีมเจ้าภาพเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ทำเอาทีมแซมบ้าแทบไม่มีโอกาสที่จะได้ง้างเกือกยิงหรือโหม่งลุ้นทำประตูเลยในครึ่งแรก แต่พอถึงนาทีที่ 47 สนามมาราคาน่า ก็แทบจะถล่ม เมื่อ พริอาซ่า สบโอกาสซัด บอลเลียดจังหวะเดียว บอลพุ่งเข้าไปเสียบตาข่ายอย่างรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่า มาสโปลี่ นายทวารทีมจอมโหดจะป้องกันไว้ได้ โอกาสที่ทีมแซมบ้าจะคว้าถ้วยจูลส์ ริเม่ต์ อยู่แค่เอื้อมแล้ว เพราะแค่เสมอพวกเขาก็จะเป็นแชมป์โลกแล้ว แต่นี่ยังส่องประตูขึ้นนำไปก่อนอีก แล้วจะมีอะไรเหลือ
หลังจากนั้น บราซิลก็เริ่มวาดลวดลาย เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลมากกว่าที่จะคำนึงถึงเกมในสนาม นั่นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ทีมนักสู้อย่างอุรุกวัยทุ่มเทพลังทั้งหมดบุกทะลวงกลับ และสามารถทำประตูตีเสมอได้สำเร็จจาก ฮวน เคียฟฟิโน่
ไม่เกินเลยไปนักหากจะพูดว่า ทีมแซมบ้าตกอยู่ในสภาพเสียขวัญ หลังจากที่โดนลูกยิงนี้เข้าไป ทำให้เพลงแข้งแซมบ้าอันน่าเกรงขามเริ่มอ่อนล้าลงน้อยๆ และในที่สุดสนามมาราคาน่า ก็เงียบสนิทราวกับป่าช้าร้อยปี เพราะเมื่อเหลือเวลาอีก 11 นาทีจะหมดเวลาการแข่งขัน อุรุกวัยกำลังบุกหนัก ฮูลิโอ เปเรซ จับบอลได้แล้วปาดไปให้ อัลซิเดส จิ๊กเจีย กองหน้าตัวกลั่นตะบันสุดชีวิตส่งลูกหนังเข้าไปตุงตาข่าย
เหตุการณ์ในวินาทีนั้น คือความมหัศจรรย์อันเหลือเชื่อที่แม้แต่นักเตะอุรุกวัยเองยังไม่นึกฝันว่า จะสามารถบุกมาโค่นทีมบราซิลได้ถึงถิ่น พร้อมกับคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี ท่ามกลางความตกตะลึงและหยาดน้ำตาของชาวบราซิลทั้งประเทศ
ไม่ฝืน! ฟีร์มิโนเจ็บถอนทัพแซมบ้าชุดคัดบอลโลก
แนวรุกบราซิเลียนของหงส์แดง ตัดสินใ...
- ปี
- ชนะเสิศ
- รองชนะเสิศ
- อันดับ 3