ครั้งที่ 12 ฟุตบอลโลก 1982 (ที่ประเทศสเปน)
ฟุตบอลโลก 1982 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 ที่ประเทศสเปนที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน ถึง 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1982 สเปนได้รับการคัดเลือกให้เป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1966 ผู้ชนะการแข่งขันคือประเทศอิตาลี หลังจากชนะให้กับทีมเยอรมนีตะวันตก 3-1 ในนัดตัดสิน ถือเป็นสถิติเทียบเท่าบราซิลที่อิตาลีชนะฟุตบอลโลก 3 ครั้ง การแข่งขันครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เพิ่มมากขึ้นจาก 16 เป็น 24 ทีมเป็นครั้งแรก จากปี 1978
จะบอกว่านี่คือการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่เจ้าภาพจัดการแข่งขัน ประสบปัญหามากที่สุดครั้งหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก เพราะถึงแม้ สเปน จะรู้ว่าตัวเอง ได้เป็นเจ้าภาพก่อนการแข่งขันจริงตั้ง 18 ปีเต็ม แถมยังส่งตัวแทนไปดูงานการจัดฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 1966-1978 ก็จริงแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการจัดการแข่งขันครั้งนี้สักเท่าไหร่เลย
ปัญหาใหญ่ที่เจ้าภาพต้องประสบในการแข่งขันครั้งนี้คือเรื่องสนาม เพราะเนื่องด้วยทีมที่เข้าแข่งขันมีเพิ่มมากขึ้นจาก 16 เป็น 24 ทีมเป็นครั้งแรก ทำให้ สเปน ต้องเร่งสร้างสนามแข่ง และปรับปรุงสนามที่มีอยู่ยกใหญ่ ขณะที่ก็ยังมีบางแห่งที่ต้องได้รับการบูรณะด่วนในช่วงที่การแข่งขันเริ่มไปแล้วอีกต่างหาก ซึ่งความยุ่งยากทั้งหมด ต้นตอที่แท้จริง มาจากเรื่องการเมืองเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกลุ่มแบ่งแยกดินแดนแคว้นบาสก์ที่ออกมาขู่ว่าจะสร้างความเสื่อมเสียใหญ่หลวงให้สเปนต่อชาวโลก หรือความขัดแย้งเรื่องหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ระหว่าง อังกฤษ และ อาร์เจนตินา
แม้ ฟีฟ่า จะอ้างว่า เหตุผลที่เพิ่มทีมที่เข้ารอบสุดท้าย เป็นเพราะต้องการเปิดโอกาสให้ทุกประเทศทั่วโลกมีส่วนร่วมกับเวิลด์ คัพมากขึ้น แต่ทุกคนรู้ดีเหตุผลที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะ โจอัว ฮาเวล้านจ์ ประธานฟีฟ่าตอนนั้น ต้องการตอบแทนบรรดาประเทศที่สนับสนุนตัวเองให้ได้นั่งเก้าอี้ บิ๊กบอสฟีฟ่าต่อไปมากกว่า โดยทั้ง 24 ทีมถูกแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ในรอบแรก และจะคัดเอาทีมอันดับ 1 และ 2 ของกลุ่มเข้าไปเล่นในรอบ 2 ต่อไป
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ได้ต้อนรับน้องใหม่ที่เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรก 5 ทีม คือ แอลจีเรีย, แคเมอรูน, ฮอนดูรัส, คูเวต และ นิวซีแลนด์ โดยยังไม่เห็นหน้าค่าตาของ สหรัฐอเมริกา พี่เบิ้มในทุกวงการของโลกแต่อย่างใด ซึ่ง 6 ทีม ที่ได้รับเลือกให้เป็นทีมวางในรอบแรกก็คือ สเปน, เยอรมันตะวันตก, อิตาลี, อังกฤษ, อาร์เจนตินา และ บราซิล ที่มาในฐานะทีมเต็ง 1 เช่นเคย ภายใต้การนำของ "เปเล่ขาว" ซิโก้ ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม 6 ร่วมกลุ่มกับ สหภาพโซเวียต, สกอตแลนด์ และนิวซีแลนด์
ด้าน อาร์เจนตินา แชมป์เก่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หวังลึกๆ ว่า พวกเขาจะเป็นทีมที่ 2 ของโลก ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกนอกทวีปสำเร็จ ต่อจากบราซิล เนื่องจากยังมี 4 ผู้เล่นตัวหลักจากชุดแชมป์อยู่ในทีมครบถ้วน นำโดย มาริโอ เคมเปส และ ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า นอกจากนั้นยังมีดาวรุ่งพุ่งแรงดวงใหม่ของวงการที่ชื่อ "ดีเอโก้ มาราโดน่า" โผล่เป็นหนึ่งในทีมด้วย โดยนักเตะฟ้า-ขาว ได้อยู่ในสาย 3 ร่วมกับ เบลเยียม, ฮังการี และ เอล ซัลวาดอร์
13 มิถุนายน 1982 มหกรรมฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 ก็ได้ฤกษ์ระเบิดขึ้นที่สนามคัมป์ นู ของสโมสร บาร์เซโลน่า โดยในวันเปิดสนามกษัตริย์ ฆวน คาร์ลอส แห่งสเปน ให้เกียรติสูงสุด เสด็จมาเป็นประธานในพิธีด้วย ซึ่งในวันนั้นพระองค์ทรงให้เกียรติปล่อยลูกโป่งนับพันลูกเหนือสนามเป็นการเปิดการแข่งขัน "เวิลด์ คัพ 1982" อย่างเป็นทางการ และเพียงแค่เกมนัดแรกของทัวร์นาเมนต์ ก็เกิดการพลิกล็อกขึ้นเสียแล้ว เมื่อ อาร์เจนตินา แชมป์เก่า พลาดท่าปราชัยต่อ เบลเยียม 0-1 อย่างไม่มีใครคาดคิด จากการยิงของ เออร์วิน แวนเดนเบิร์ก ซึ่งถือเป็นประตูแรกในเกมฟุตบอลโลก นัดเปิดสนาม ตั้งแต่ปี 1962 และเป็นการลงเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายของผู้ชายชื่อ มาราโดน่า
ส่วนการแข่งขันของอีก 2 ทีมร่วมกลุ่ม ระหว่าง ฮังการี กับ เอล ซัลวาดอร์ ในอีก 2 วันต่อมา ปรากฏว่าทีม "แม็กยาร์" โชว์ฟอร์มสะท้านโลก ไล่อัดทีมหมูน้อยกระจุยถึง 10-1 แต่กุนซือก็ยังไม่พอใจในผลงานที่ปล่อยให้ เอล ซัลวาดอร์ ยิงประตูตีไข่แตกได้ และ ฮังการี ก็ต้องเจอฝันร้ายเข้าเองบ้างในเกมที่ 2 เมื่อเจอฤทธิ์เดชของ "เสือเตี้ย" พาทีม ฟ้าขาว ถล่มไป 4-1 ขณะที่ เอล ซัลวาดอร์ ฟอร์มดีขึ้นผิดหูผิดตา แพ้ต่อ เบลเยียมแค่ 0-1 ทำให้ในกลุ่มนี้ เบลเยียม กับ อาร์เจนตินา ได้ผ่านเข้ารอบ 2 อย่างไม่มีปัญหา หลังนัดสุดท้าย ฮังการี ไม่สามารถเอาชนะ เบลเยียม ได้ เสมอกันไป 1-1 ขณะที่ แชมป์เก่า ถล่ม เอล ซัลวาดอร์ นิ่มนวล 2-0 โดย เบลเยียม เป็นทีมอันดับ 1 ของกลุ่ม
สำหรับการแข่งขันของกลุ่ม 1 ที่ประกอบไปด้วย อิตาลี, โปแลนด์, แคเมอรูน และ เปรู เป็นไปอย่างจืดสนิท เมื่อทุกทีมลงเล่น 2 นัดแรก ด้วยการเสมอกันทั้งหมด โดยมีการยิงประตูได้เพียง 2 ลูก คือเกมที่ อิตาลี เสมอ เปรู 1-1 ในนัดที่ 2 ของทั้งคู่ โดยสิ่งที่พอจะเรียกสีสันได้มากหน่อยจากกลุ่มนี้ก็คือเกมสุดท้ายของ โปแลนด์ กับ เปรู ที่ปรากฏว่า ซบิ๊กนิว โบเนี้ยก นำ โปแลนด์ ถล่ม เปรู ยับ 5-1 พร้อมได้ผ่านเข้ารอบ 2 แน่นอน ปล่อยให้ อิตาลี ไปลุ้นกับ แคเมอรูน ในนัดสุดท้าย ซึ่งผลปรากฏว่า เสมอกันอีก 1-1 แต่ ลูกทีม เอ็นโซ แบร์ช็อต คือทีมที่จะได้เข้ารอบ เพราะยิงประตูได้ มากกว่า ปล่อยทีมหมอผีกลับบ้านแบบมึนงงเพราะไม่แพ้เลยสักเกมเดียว แต่ตกรอบ
ขณะที่กลุ่ม 1 สุดจืด แต่กลุ่ม 2 อาจจะเป็นกลุ่มที่มันส์ที่สุด เมื่อมีทีมชั้นยอดอยู่ในกลุ่มถึง 3 ทีม คือ เยอรมันตะวันตก, แอลจีเรีย และ ออสเตรีย ส่วนอีกทีมคือ ชิลี โดยการแข่งขันนัดแรก แอลจีเรีย สามารถหักปากกาเซียน ที่ให้อัตราต่อรองการคว้าแชมป์โลกของพวกเขาถึง 1,000-1 เฉือนเอาชนะ อินทรีเหล็ก 2-1 จากประตูชัยของ ลัคดาห์ เบลลูมี่ ในนาทีที่ 69 ขณะที่ ออสเตรีย ก็เฉือน ชิลี 1-0 แต่ในนัดที่ 2 ที่ผู้ชนะจากนัดแรกต้องมาเจอกันเอง ปรากฏว่า ออสเตรีย เฉือนชนะได้อีก 2-0 ทำให้ได้ผ่านเข้ารอบ 2 แน่นอน ส่วน เยอรมัน ก็คืนฟอร์มถล่ม ชิลี ไม่ไว้หน้า 4-1 เก็บ 2 แต้มอันมีค่าไปลุ้นกับ แอลจีเรีย ในเกมสุดท้าย ซึ่งปรากฏว่า เยอรมัน เฉือน ออสเตรีย 1-0 ขณะที่ แอลจีเรีย ชนะ ชิลี สุดมันส์ 3-2 ทำให้ทั้ง 3 ทีม มี 4 คะแนนเท่ากันหมด แต่ เยอรมัน และ ออสเตรีย คือทีมที่ได้ผ่านเข้ารอบ 2 ในอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ เพราะประตูได้เสียดีกว่า ปล่อยให้ แอลจีเรีย กลับบ้านอย่างชอกช้ำ
ด้าน "สิงโตคำราม" อังกฤษ เริ่มต้นรอบแรกได้เหมือนกับฝัน เมื่อเก็บชัยชนะรวดทั้ง 3 เกม แถม ไบรอัน ร็อบสัน ยังจารึกประวัติศาสตร์อีกหน้าให้ฟุตบอลโลกด้วยการยิงประตูเร็วที่สุดอันดับ 2 ตลอดกาลของเวิลด์ คัพ โดยใช้เวลาแค่ 27 วินาทีหลังจากเริ่มเสียงนกหวีดในเกมแรกที่ชนะฝรั่งเศส 3-1 ด้วย ทำให้พวกเขาได้เข้ารอบเป็นที่ 1 ของสาย โดยมีฝรั่งเศสตามเข้ารอบด้วยกัน หลังขุนพลน้ำหอมเก็บชัยเหนือคูเวต 4-1 และเสมอกับ เชโกสโลวะเกีย 1-1 ขณะที่ ในกลุ่ม 6 บราซิล ก็โชว์ฟอร์มในรอบแรกได้อย่างสุดยอด เก็บชัย 3 นัดรวด กอดคอสหภาพโซเวียต ผ่านเข้ารอบ 2 ได้เช่นกัน ส่วน เจ้าภาพ สเปน ทะลุเข้ารอบได้แบบโชคช่วยมหาศาล หลังนัดสุดท้ายพ่าย ไอร์แลนด์เหนือ 0-1 แต่ยังดี ยูโกสลาเวีย ชนะ ฮอนดูรัส แค่ 1-0 ทำให้เจ้าถิ่นได้เข้ารอบ 2 ร่วมกับ ไอร์แลนด์เหนือ จากลูกได้เสียที่ดีกว่า
การหวดในรอบ 2 เอาทั้ง 12 ทีมจาก 6 กลุ่ม มาแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม โดยคัดเอาทีมชนะเลิศของแต่ละกลุ่มเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ และในรอบนี้ อังกฤษ ก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับ แคเมอรูน ที่เจอในรอบแรก นั่นคือไม่แพ้ใครเลย แต่ต้องตกรอบ หลังจาก เสมอทั้ง 2 นัด กับ เยอรมันตะวันตก และ สเปน ขณะที่ขุนพลอินทรีเหล็กเก็บชัยเหนือเจ้าถิ่นได้ 2-1 ทำให้ได้ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศทันที ด้าน อิตาลี กับ บราซิล ถูกจับให้มาอยู่กลุ่มเดียวกัน และต้องวัดกันเองในนัดสุดท้าย หลังเก็บชัยมาได้ทั้งคู่ในเกมแรก ซึ่งเกมนี้เป็นครั้งแรกที่ชาวโลกต้องตกตะลึงกับแฮตทริกของกองหน้า ที่ใครๆ ก็มองว่าธรรมดาๆ ชื่อ เปาโล รอสซี่ ช่วยให้ อิตาลี เฉือน แซมบ้า สุดมันส์ 3-2 ผ่านเข้ารอบรองไปอีกทีม ส่วนอีก 2 ที่ได้เข้ารอบก็คือ ฝรั่งเศส และ โปแลนด์
เกมรอบรองชนะเลิศ อิตาลี ต้องหวดกับ โปแลนด์ ขณะที่ เยอรมัน เตะกับ ฝรั่งเศส ซึ่ง รอสซี่ ก็ยังคงความร้อนแรง ตะบัน 2 ประตู พาทีมมะกะโรนี เอาชนะ โปแลนด์ ไม่ยาก 2-0 ได้ผ่านเข้าไปรอชิงเป็นทีมแรก ส่วนคู่แข่งของพวกเขาก็คือทีมอินทรีเหล็ก ที่ต้องทำศึกนัดหนึ่งที่ดีที่สุด ในฟุตบอลโลก กว่าจะเอาชนะ ฝรั่งเศส ได้จากการดวลลูกโทษที่จุดโทษ หลังหมดช่วงต่อเวลายังเสมอกัน 3-3 ทั้งที่ ฝรั่งเศส ออกนำไปก่อนถึง 3-1 ในช่วง 8 นาทีแรกของการต่อเวลา
เกมนัดชิงชนะเลิศ อิตาลี อาศัยเกมรับสุดเหนียว ล็อกบรรดากองหน้าของเยอรมันจนกระดิกตัวไม่ออก และฉวยโอกาสโต้กลับเร็วได้ประตูออกนำห่างไปถึง 3-0 ซึ่งแน่นอนว่า 1 ประตูในนั้นต้องมีชื่อของ เปาโล รอสซี่ เช่นเคย ขณะที่ ทีมอินทรีเหล็กมาได้ประตูแก้หน้าแค่ลูกเดียว จาก พอล ไบรท์เนอร์ ในนาทีที่ 83 ทำให้ อิตาลี ผงาดคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 มาครองสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
ไม่ฝืน! ฟีร์มิโนเจ็บถอนทัพแซมบ้าชุดคัดบอลโลก
แนวรุกบราซิเลียนของหงส์แดง ตัดสินใ...
- ปี
- ชนะเสิศ
- รองชนะเสิศ
- อันดับ 3